แสงจากดวงอาทิตย์นั้นมีความถี่หลากหลายจากช่วง ultraviolet (UV) ที่ไม่มีความร้อนจนถึงช่วง infrared (IR) ที่เป็นตัวกระจายความร้อนแต่ย่านความถี่ที่มีผลกับสีกีตาร์คือย่าน UV เท่านั้น
จะเห็นใด้ว่าแสงธรรมชาตินั้นมีอัตราส่วนของ UV น้อยมาก (6.6%) การใช้แสงธรรมชาติส่องเพื่อลบรอยด่างนั้นจึงต้องใช้เวลาเป็นปีในเมืองไทยที่เอากีตาร์ไปตากแดดไม่ใด้เพราะร้อนมาก
รังสี UV นั้นแบ่งเป็น 3 ความถี่คือ UVA, UVB และ UVC ย่านที่ใช้ใด้ในการลบรอยด่างคือสองย่านแรกส่วน UVC นั้นไม่มีในแสงธรรมชาติและถูกนำมาใช้เป็นหลอดไฟฆ่าเชื้อโรคเป็นหลัก
ผิวของกีตาร์เปลี่ยนสีใด้จากสองกรณี
1. ผิวเคลือบ (clear coat): สีเข้มขึ้นอย่างรวดเร็วถ้าเป็นผิวไนโตร (nitrocellulose lacquer) ส่วนผิวโพลี่ (polyurethane, catalyzed polymer) ไม่เข้มขึ้นจากแสงธรรมชาติ
2. เนื้อไม้: สีเข้มขึ้นจากแสง UV เหมือนกันแต่ไม่มากเท่าผิวเคลือบ ถ้ารอยด่างเกิดที่เนื้อไม้หรือเนื้อสีที่พ่นบนไม้หน้าควรใช้แสง UVA ที่ทะลุทะลวงใด้ดีกว่า UVB ในการลบรอย
จากประสพการณ์จริงผมเคยลบรอยสติกเกอร์บนกีตาร์ไฟฟ้าโดยใช้ไฟ blacklight ส่องต่อเนื่องเป็นเวลา 72 ชั่วโมง
กีตาร์ตัวนี้เป็นสี Candy Cola เคลือบด้วย nitro เมื่อโดนแสงเป็นเวลาสี่ปีกว่าผิวไนโตรจะเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่เนื้อสีจะเข้มน้อยลง (faded) ผลโดยรวมคือสีใต้ pickguard จะเข้มกว่าสีด้านนอก
จุดที่ใช้ไฟ blacklight ส่องคือรอยด่างจากสติกเกอร์บนไม้หน้า รอยด่างจางลงจนแทบไม่เห็นหลังส่องอยู่สามวัน
หลอดไฟ UVA ที่หาซื้อใด้ทั่วไปมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือ Grow Light สำหรับส่องไม้ประดับในอาคารซึ่งมีแสงที่มองเห็นปนอยู่ อีกอย่างคือหลอด Blacklight สำหรับงานปาร์ตี้ที่แทบไม่มีแสงสว่างเลย เลือกใด้ตามใจชอบครับ
J-45 ตัวนี้เคยใส่ pickguard คู่ ลองใช้ blacklight ส่องอยู่วันเดียวก็ดูดีแล้ว