ตอนนี้ผมเก็บกีตาร์ใว้ทั้งที่บ้านและคอนโดที่ละร้อยกว่าตัว วิธีเก็บนั้นแตกต่างกันเยอะ ลองดูที่คอนโดก่อนครับ
ตอนผมซื้อคอนโดเมื่อ 30 ปีก่อนผมเลือกยูนิตที่หันไปทางทิศเหนือเพื่อประหยัดพลังงานดังนั้นอุณหภูมิภายนอกจึงไม่ร้อนมากนัก อุณหภูมิสูงสุด = 38.2*c ต่ำสุด = 18.7*C ความชื้นสัมพัทธ์สูงสุด = 94% ต่ำสุด = 22%
กีตาร์เกือบทั้งหมด (124 ตัว) ผมเก็บในห้องนอนและวางในห้องนั่งเล่นอีก 6 ตัว
ผมเปิดแอร์ในห้องนอนที่ 25*C วันละประมาณ 9 ชั่วโมง อุณหภูมิในห้องไม่เคยร้อนกว่า 29.5*C และความชื้นสัมพ้ทธ์ไม่เคยสูงเกิน 62% ทำให้กีตาร์ไม่มีอาการบวมน้ำครับ
สรุปว่าที่คอนโดผมไม่เสียค่าไฟเพิ่มสำหรับการเก็บกีตาร์เลยแม้แต่บาทเดียวซึ่งคุณคงทำอย่างผมไม่ใด้แน่นอนเพราะแฟนคุณคงไม่ยอม ดังนั้นลองมาดูวิธีเก็บกีตาร์อีก 100 ตัวที่ผมใช้ที่บ้านน่าจะเหมาะกว่า
ผมน่าจะเป็นคนเดียวในประเทศไทยที่สะสมกีตาร์ hollow body ยี่ห้อ Fender, Gibson, Heritage USA, Guild USA, Gretsch, D'Aquisto, D'Angelico และ Hofner Germany เพราะผมว่ามันหน้าตาสวยและเสียงดี ตอนนี้ก็มีอยู่ประมาณ 30 ตัวครับ
กีตาร์ archtop และกีตาร์ solid body นั้นไม่กลัวความชื้นเหมือนกีตาร์โปร่งผมก็เลยเก็บใส่กล่องใว้ในห้องที่ไม่มีการควบคุมความชื้น(แต่ไม่เปิดหน้าต่าง) และจะเอาออกมาโชว์เฉพาะตอนมีการสังสรรค์ที่บ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ส่วนกีตาร์โปร่งนั้นผมเก็บในตู้อีกห้องโดยเมื่อก่อนใช้เครื่องลดความชื้นแบบอัตโนมัตเปิดตลอดเวลาครับ
สมัยก่อนเครื่องลดความชื้นยังไม่มีของจีนมาตีตลาด ผมก็เลยต้องใช้ยี่ห้อ Bionaire รุ่น BD20 ซึ่งวางใจใด้ว่ามันจะไม่ทำให้เกิดไฟไหม้ถ้าเปิดทิ้งใว้ทั้งวันทั้งคืน
ค่าไฟฟ้าสามารถคำนวนใด้ตามนี้ถ้ากำหนด RH ใว้ที่ 55%
คอมทำงาน 10 ชั่วโมง กินไฟ 360 วัตต์ พัดลมทำงาน 14 ชั่วโมงกินไฟ 20 วัตต์
ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ต่อวัน = 10x360+14x20 = 3,880 wh ต่อวัน
ค่าไฟฟ้าเดือนนี้ = 4.42 บาทต่อยูนิต ค่าไฟฟ้าต่อวัน = 4.42x3.88 = 17.15 บาทต่อวัน (แค่เดือนหน้าค่าไฟชึ้นอีกยูนิตละ 23 สตางค์ครับ)
ความเปลี่ยนแปลงเมื่อโควิดมาเยือนเมื่อก่อนนี้ผมเก็บกีตาร์ใส่กล่องใว้โดยไม่ผ่อนสายเพื่อความสะดวกในการหยิบออกมาเล่นเวลามีคนมาเยือนแต่สถานการณ์โควิดทำให้ผมต้องหาวิธีใหม่ในการเก็บกีตาร์โดยการลอกเลียนวิธีที่โรงงานผลิตกีตาร์เขาใช้กันทุกเจ้าโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้นเลย
ก่อนที่กีตาร์โปร่ง Martin หรือ Gibson มันจะมาถึงมือคุณนั้นมันต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรคือ
1. ถูกขนโดยรถบรรทุกจากโรงงานในเพนซิลวาเนียร์หรือมอนตานามาถึงท่าเรือที่คาลิฟอร์เนียร์
2. เดินทางโดยเรืออีกเกือบสองเดือนในตู้คอนเทนเนอร์ที่ตากแดดตากฝนมาเมืองไทย
3. ถูกนำมาเก็บในโกดังของตัวแทนจำหน่ายจนกว่าจะมีคนมาซื้อซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีๆ
กีตาร์โปร่งนั้นถ้าความร้อนไม่ถึง 50*C ก็ไม่มีปัญหาเรื่องกาวละลาย ส่วนเรื่องความชื้นนั้นไม่มีปัญหา จะเก็บเป็นสิบปีมันก็ไม่เปลี่ยนจากค่าเดิมจากโรงงานครับ
ที่ความชื้นมันไม่เปลี่ยนก็เพราะเขาเอาถุงพลาสติกหุ้มมันใว้แถมยังใส่ silica gel ซองเล็กใส่ใว้ในกล่องกันเหนียวอีกด้วย ดังนั้นถ้าเป็นกีตาร์ที่เราไม่ใด้หยิบมาเล่นประจำเราก็ควรซื้อถุงพลาสติกมาหุ้มมันใว้ไม่ให้มันโดนอากาศภายนอกแล้วซีลด้วยกิ้บหนีบผ้าเหมือนกัน
ถุงพลาสติกขนาด 45"x60" อย่างหนาหาซื้อใด้ออนไลน์ในราคาถุงละ 20 บาทครับ Silica gel แบบเปลี่ยนสีราคากิโลละ 160 บาทเอามาแบ่งใส่ซองเล็กๆใส่ใว้ในกล่องกีตาร์ด้วยเพื่อดูดความชื้นที่หลงเหลืออยู่ในกล่อง
ถ้าเป็นกีตาร์ที่เล่นประจำที่ไม่อยากใส่ถุงก็ซื้อซองลดความชื้นของรถยนตร์มาใช้ก็ใด้แต่ต้องเอาออกมาใล่ความชื้นด้วยไมโครเวฟเดือนละครั้งสองครั้ง
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการไล่ความชื้นที่บ้านผมก็เหลือ 0 บาทเหมือนที่คอนโดครับ การเก็บกีตาร์โปร่งนั้นควรคิดว่าในสถานที่ที่คุณอยู่ใด้กีตาร์มันก็อยู่ใด้เหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีก่อนก็คือเครื่องวัดความชื้นซึ่งมีขายออนไลน์มากมายแต่ควรเลือกยี่ห้อดีๆหน่อยจะใด้ไม่เพี้ยน
ความชื้นสัมพัทธ์ (RH) ที่มีผลกับกีตาร์นั้นก็คือความชื้นภายในกล่องซึ่งขึ้นลงช้ากว่าความชื้นภายในห้อง ดังนั้นถ้าความชื้นในห้องกระโดดขึ้นไปเป็น 70-80% ตอนฝนตกความชื้นในกล่องมันก็ไม่ใด้ขึ้นตามทันทีแต่ไม่ควรเอากีตาร์ออกมาเล่นในตอนนั้นเพราะเสียงจะทึบมาก