เอาตาม กฎหมาย
1. ผิดครับ แต่ จนท.จะจับหรือไม่ อยู่ในดุลพินิจครับ
เจ้าของที่ให้ และ เจ้าหน้าที่ให้ = ไม่ผิด
เจ้าของที่ให้ และเจ้าหน้าที่ไม่ให้ = ผิด
กฏหมายให้อำนาจดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ใว้สูงแบบนี้ เข้าใจว่าเพื่อให้มีคนฟันธง ไม่งั้นก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น
และดูเหมือนจะมุ่งเน้นประเด็นการก่อความรำคาญต่อผู้คน มากกว่าสิทธิ์ในการใช้พื้นที่
เอาจริงๆร้านค้าเด็กแนวในตลาดเดียวกันมักเปิดเพลงเสียงออกถนนดังกว่าคนเปิดหมวกไปเยอะ
(เพราะเท่าที่เห็นๆมานักดนตรีคนเปิดหมวกมีความเกรงใจชุมชนมาก ถ้าทำความรำคาญให้ชุมชนเยอะๆมีคนร้องเรียนก็จะขาดรายได้
แต่ร้านค้าเปิดจากเครื่องเสียงชุดใหญ่ในบ้าน เน้นแจกความมันสะใจ อันนี้เป็นกฏหมายคนละฉบับ ถ้าไม่มีคนร้องเรียนเจ้าหน้าที่ก็พูดไม่ออกไปเลย
แถมถ้าจะมีคนร้องเรียนก็ต้องเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงที่โดนบ่อย ซึ่งส่วนใหญ่คงไม่อยากมีศรัตรูอยู่ไกล้บ้าน *คนนอกพื้นที่คงไม่หาเรื่องใส่ตัว
สังคมส่วนใหญ่ก็เลยเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูกผูกแล้วไม่แก้ จำยอมกันไปเรื่อยๆ )
ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ โดนคนในตลาดโห่ใส่ จนต้องเดินหนีไป
สังคมบ้านเรามีชื่อเสียงด้านใช้การประนีประนอมมากๆ เอาแค่ให้พออยู่กันได้ จนหลายๆเรื่องก็ดูเป็นความหย่อนยานด้านกฏระเบียบ
แต่หลายๆมุมมองก็ดูเป็นความมีน้ำใจของสังคมที่เอื้อเฟื้อให้ไปต่อกันได้โดยไม่ต้องมีใครอดอยาก
(แม้ในกรณี วนิพก ก็คิดว่ายอมทนหนวกหูบ้างสองสามชั่วโมง ดีกว่าห้ามเสียจนเขาหมดหนทางแล้วต้องไปฉกชิววิ่งราว)
คือใช้หลักการด้านสังคมช่วยแก้ปัญหา (หรือซุกปัญหา) มากกว่าด้านกฏหมาย
และในบางครั้งก็มีคนที่จงใจหาประโยชน์เข้าตัวตรงๆโดยใช้แนวทางประนีประนอมของสังคมเป็นเครื่องมือเบียดเบียนสิทธิ์ของผู้อื่น...
(ผมเคยไปยืนดูรูปปั้นสวยๆหน้าร้านหมอดูแล้วโดนหมอดูฉุดลากมือเข้าไปในพื้นที่ร้านบอกว่าไปยืนจ้องท่านไม่พอใจต้องไหว้ขอขมานะ
ทำเหมือนหวังดียัดธูปเทียนใส่มือให้ท่องตามเลย ผมก็ไม่ได้เชื่ออะไรกับคำขู่ไร้สาระพวกนั้น แต่ไม่พอใจและไม่อยากเถียงกับพวกสันดานชั่ว
ก็เลยทำตามเพื่อให้จบๆกันไป ปรากฏว่าท่องคาถาวิบัติไปไม่กี่ประโยคโดนเรียกค่าบูชาครูเฉยเลย เกือบได้วางมวย
ซึ่งถ้าเป็นเรื่องกันขึ้นมาผมเป็นคนในพื้นที่ไม่กลัวหรอก แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการมีเรื่องเพราะมันแก้ปัญหาไม่ได้ แถมพวกนี้เป็นขาจรตีหัวเข้าบ้าน
ตราบใดที่ยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะกิจของรัฐออกสุ่มตรวจพฤติกรรมขายความเชื่อ เขาก็ไปตั้งแท่นบูชาในงานอื่นหลอกคนอื่นๆได้เรื่อยๆอยู่ดี
หรือกรณียายยัดดอกไม้บังคับซื้อที่เคยเป็นข่าวโ่ด่งดังก็ใช่ ถ้าถือใว้ก็โดนบังคับขาย ถ้าไม่รับปล่อยดอกไม้ตกก็โดนบังคับทำของเสียหาย
แม้แต่สติไวหาจุดวางใว้ดีๆก็ยังเป็นการแตะต้องดอกไม้ช้ำต้องจ่ายอยู่ดี เล่นกับคนพาลมันไม่สนุก
พวกนี้ใช้การล่อลวงบังคับขู่เข็ญใจหาประโยชน์ เป็นมิจฉาชีพในคราบสัมมาชีพชัดๆ
สำหรับเจ้าหน้าที่ การสืบสาวราวเรื่องว่าใครมีความจำเป็นเช่นไร ชุมชนชอบใจแค่ไหน หรือสร้างความรำคาญแค่ไหนคงไม่สนุกนักโดยเฉพาะนักแสดงขาจร
ผลุบๆโผล่ๆ ไปร้องเพลงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องเซฟตัวเองใว้ก่อน (คือมีแนวโน้มสูงว่าไม่มีบัตรห้ามเล่น...)
สรุปว่าเก็บความหวังดีใว้กับตัว ไปทำบัตรก่อนปลอดภัยสุด
ขอบคุณน้าทอม น้า Moko ครับ