เรื่องแรงดึงของสายกีตาร์เรื่อง Tension ของสายกีตาร์นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับบ้านเราที่มีอากาศชื้นเกือบทั้งปี กีตาร์ solid top นั้นตอนออกมาจากโรงงานไม้หน้าจะโค้งเพียงเล็กน้อยตามมาตรฐานของผู้ผลิต พอมาอยู่ในอากาศชื้นไม้หน้ามันก็จะขยายตัวออกทางด้านข้างเพราะมันดูดน้ำในอากาศเข้าไป เมื่อไม้หน้าขยายตัวแต่ขยายไม่ใด้เพราะติดกรอบไม้ข้างมันก็ต้องโก่งขึ้นครับ ในขณะเดียวกัน bridge ก็ยังโดนแรงดึงของสายที่ทำให้ไม้หน้าโก่งเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าไม่สนใจเรื่องความชื้นเลยและใช้สายเบอร์ใหญ่มากก็มีโอกาสที่กีตาร์จะท้องป่อง คอยก หรือ bridge ยกครับ
แรงดึงหรือ tension ของสายกีตาร์โปร่งที่ bridge ต้องรับนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 อย่างครับ
1. String gauge หรือขนาดของสาย
2. String type ชนิดของสาย
3. Pitch การตั้งสาย ถ้าตั้งแบบมาตรฐานคือ E-E
4. Scale length ระยะห่างจาก nut ถึง saddle
โดยมีสมการในการคำนวณแรงดึงดังนี้ครับ
สมการข้างบนนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากแต่ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับเพราะเดี๋ยวผมจะคำนวณมาให้
เรื่องแรกที่หลายคนไม่ทราบเพราะไม่มีผุ้ผลิตรายไหนบอกก็คือเรื่องนี้อย่างชัดเจนก็คือสายกีตาร์โปร่งนั้นมีหลายชนิดอาทิเข่น 80/20, Phosphor bronze, Silk& Steel เป็นต้น สายแต่ละชนิดที่ขนาดเดียวกันมีแรงดึงไม่เท่ากันนะครับ ดูจาก chart ด้านล่างใด้ครับ
ในบ้านเราผมเห็นคนใช้สาย PB กันเป็นส่วนใหญ่ทั้งๆที่ผู้ผลิตหลายรายอย่าง Taylor เขาใส่สาย 80/20 มาจากโรงงาน ถ้าคุณเล่นแล้วรู้สึกเจ็บนิ้วก็ลองเปลี่ยนไปใช้สาย 80/20 ดูครับเพราะแรงดึงมันน้อยกว่า ส่วนสาย Silk and Steel นั้นเขาใช้ไยไหมมาทำไส้จึงมีแรงดึงต่ำมากเหมาะสำหรับกีตาร์เก่าๆครับ
เคยเห็นมีคนถามเรื่องการตั้งสาย Eb ว่าจะลดแรงดึงไปเยอะไหม ผมเลยคำนวณและสรุปไว้ให้ใน chart ข้างล่างครับ
...กีตาร์ใส่สายเบอร์ 12 ตั้ง Eb มีแรงดึงน้อยกว่าใส่สายเบอร์ 11 ตั้ง E
...กีตาร์เสกลสั้นใส่สายเบอร์ 12 มีแรงดึงของสายมากกว่ากีตาร์เสกลยาวใส่สายเบอร์ 11 นิดเดียว
... Taylor GS Mini ใส่สายเบอร์ 12 มีแรงดึงไกล้เคียงกับกีตาร์ปกติที่ใส่สายเบอร์ 10
ผมสะสมกีตาร์มาสี่สิบกว่าปีตั้งแต่ Internet และ Google ยังไม่เกิด สมัยก่อนนั้นข้อมูลหายากหรือหาไม่ใด้ครับ บางครั้งต้องรอจนกีตาร์พังก่อนแล้วถึงจะมารู้ทีหลังว่าพังเพราะอะไร เดี๋ยวนี้กีตาร์ของผมใส่สายเบอร์เดียวกับที่โรงงานเขาใส่มาทุกตัว เวลาเก็บไม่เคยผ่อนสายและรับรองใด้ว่าไม่มีอาการท้องป่องแม้แต่ตัวเดียว