เรื่องซื้อกีตาร์ออนไลน์นี่เป็นปัญหาคาใจผมมาสี่สิบกว่าปีแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและต้องใช้วิธีติดต่อด้วยโทรศัพท์ล้วนๆ สมัยก่อนตอนที่อยู่อเมริกานั้นถ้าคุณซื้อสินค้าข้ามรัฐก็ไม่ต้องเสีย state tax (7-12% แล้วแต่รัฐ) ทำให้ซื้อใด้ในราคาถูกกว่าสำหรับกีตาร์ราคาแพงเพราะค่าส่งมันเท่ากันไม่ว่ากีตาร์จะราคาเท่าไหร่
ข้อเสียของการซื้อออนไลน์ก็คือ
กีตาร์เป็นสินค้าที่ผลิตจากไม้ธรรมชาติและเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือคนทำดังนั้นจึงเป็นไปไม่ใด้ที่คุณภาพของทุกตัวจะเหมือนๆกัน การคัดเลือกไม้ วิธีการอบ การใช้เครื่อง CNC ในการผลิตและมาตรฐาน QC ของแต่ละโรงงานก็มีผลต่อเสียง ความปราณีตของงานและความทนทานในระยะยาวซึ่งอธิบายใด้ด้วยกราฟ normal distribution ครับ
จากกราฟข้างบนนั้นกีตาร์ยี่ห้อ T เขาใช้ไม้ที่ผ่านการอบแห้งจนไม่เหลือความชื้นเลย ใช้ CNC ทำงานแทนคนเกือบทุกขั้นตอนดังนั้นกีตาร์ของเขาจึงมีคุณภาพและเสียงที่ดีพอๆกันเกือบทุกตัวแต่กีตาร์ยี่ห้อ G ยังใช้วิธีตากไม้ให้แห้งและใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่ทำให้กีตาร์มีคุณภาพแตกต่างกันแบบตัวที่ดีก็ดีใจหาย ตัวที่ห่วยก็ห่วยสุดๆ
เรื่องราวที่กล่าวมาเป็นเรื่องในอดีตนะครับ ในปัจจุบันผู้ผลิตทุกเจ้าเขาใข้เครื่องจักรทำมากขึ้นเยอะ เมื่อสองปีที่แล้วผมไปลอง Gibson J-200M ที่ญี่ปุ่นแล้วผิดหวังเรื่องเสียง ทางร้านก็ดีใจหายเพราะแกะกล่องมาให้ลองอีก 5 ตัวแต่ทุกตัวเสียงห่วยเหมือนกันหมดผมเลยไม่ซื้อ (ต้องชื่นชมระบบการผลิตของ Gibson สมัยนี้)
แล้ว Martin standard series ซื้อออนไลน์ใด้ไหม ลองถามตัวเองว่าถ้าคุณเป็นคนขาย คุณจะเก็บตัวเสียงห่วยใว้ที่ร้านให้ลูกค้าลองหรือจะกำจัดมันโดยการส่งให้ลูกค้าที่ซื้อออนไลน์
เมื่อประมาณสิบปีที่แล้วร้านตัวแทนจำหน่าย Martin เจ้าเก่าเคยเปิดให้สั่งจองในราคาถูกเพราะเขาต้องการทำยอดขายก็เลยมีคนวางเงินจองกันเยอะพอสมควร (HD-28 หกหมื่นกว่า OM-42 125,000 บาท) พอใด้รับของที่ไม่มีการรับประกันก็ปรากฏว่า series 28 มี defect หลายตัวจากโรงงานแต่ซีรี่ย์สูงๆไม่มี defect เลยซักตัว เหตุผลน่าจะเป็นเพราะกีตาร์ราคาแพงมียอดผลิตน้อยมากจนไม่มีตัวไหนห่วยเลย
ถ้าเงินแสนมีความหมายกับคุณก็พยายามไปลองตัวจริงเสียงจริง (หรือวานน้าๆในบ้านนี้ไปลองให้)ดีกว่าครับ ถ้าจะวานคนอื่นไปลองก็ให้เขาส่ง serial number ตัวที่เขาเลือกให้คุณเก็บใว้ด้วย