ขอคัดลอกข้อความเก่าของผมมาแปะนะครับ
ประโยชน์ของคาโป้ คือ 1.เปลี่ยนคีย์เพลงให้เข้ากับเสียงของนักร้องโดยการคาดคาโป้และจับคอร์ดเดิม เช่น นักร้องชายจะนำเพลงของนักร้องหญิงมาขับร้อง แน่นอนว่าต้องมีการเปลี่ยนคีย์ ส่วนมากเสียงผู้หญิงกับเสียงผู้ชายจะห่างกันประมาณ คู่สี่หรือคู่ห้า
ตัวอย่าง เพลงแพ้ใจของใหม่ เจริญปุระ เดิมเป็นเพลงในคีย์ C ซึ่งวง Potato ได้นำมาร้องใหม่มีการเปลี่ยนคีย์เป็นคีย์ F นั่นคือ ถ้าเสียงผู้หญิงเป็นคีย์ C เสียงผู้ชายจะอยู่ประมาณ F หากนำเพลงนี้ไปเล่นแล้วยังต้องการจับคอร์ด C เหมือนเดิม ก็เพียงนำคาโป้คาดไว้ที่ช่อง 5 แล้วเล่นเหมือนเดิม เสียงคอร์ดในท่อนเวิร์สแรกซึ่งเล่นด้วยคอร์ด C / Em / Am / Em ก็จะกลายเป็น F / Am / Dm / Am สรุปคือง่ายต่อการเปลี่ยนคีย์และเทียบคีย์เพียงแค่เลื่อนช่องไปมา
2.เปลี่ยนวิธีการจับคอร์ดให้ง่ายขึ้น โดยที่เสียงยังคงคีย์เดิมของเพลง เช่น เพลงฤดูที่แตกแต่ง เพลงอยู่ใน คีย์ Bb ซึ่งในคีย์ Bb นี้คอร์ดส่วนใหญ่แล้วจะต้องทาบทั้งนั้น เราอาจจะนำคาโป้มาคาดไว้ที่ช่อง 1 แล้วเล่นคอร์ดในคีย์ A ก็จะเล่นเพลงนี้ได้ง่ายขึ้น ในเวิร์สแรกจะมีคอร์ด Bb / Dm / Eb / F แต่หากคาดคาโป้ไว้ช่อง 1 ก็จะเล่นเป็นคอร์ด A / C#m / D / E จะเล่นได้ง่ายขึ้นโดยที่เสียงยังคงอยู่ในคีย์เดิมของเพลงคือ Bb
3.ในการเรียบเรียงเป็นฟิงเกอร์สไตล์หากต้องการให้เพลงอยู่ในคีย์เดิม แต่ทางนิ้วของคอร์ดเดิมๆไม่เอื้อต่อเมโลดี้ของเพลง หรือหาทางนิ้วที่จะเล่นเพลงได้ยาก ก็ทำการคาดคาโป้เพื่อเล่นคอร์ดที่สามารถเล่นเมโลดี้คู่กันไปด้วยได้ง่ายขึ้น ตัวอย่าง เพลงฤดูที่แตกต่าง เพลงอยู่ในคีย์ Bb อาจจะทำการคาดไว้ที่ช่อง 3 แล้วเล่นคอร์ดในคีย์ G ซึ่งจะสามารถเล่นสายเปิดได้ค่อนข้างเยอะ ช่วยให้เล่นเสียงโน้ตให้มีความต่อเนื่อง
4.ต่อจากข้อ 3 หากทำการเรียบเรียงเสร็จเรียบร้อย แต่เร้นจ์เสียงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร ก็ใช้วิธีเลื่อนคาโป้หาคีย์ที่คิดว่าไพเราะที่สุด จะพบมากกับเพลงที่ตั้งสายเป็น OpenD หรือ DADGAD เพราะการตั้งสายแบบนี้จะสะดวกสำหรับเพลงในคีย์ D เท่านั้น
สรุปงานหลักๆของคาโป้คือ เปลี่ยนคีย์และทำให้จับคอร์ดง่ายขึ้น ครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
รอน้าท่านอื่นมาเสริมต่อนะครับ