Martin D-28 เป็นกีตาร์รุ่นหนึ่งที่สะสมใด้เพราะราคามือสองยิ่งอายุมากยิ่งราคาสูงครับ
กีตาร์โปร่งนั้นมีเพียงบางรุ่นบางยี่ห้อที่นักสะสมเขาเล่นกัน เหตุผลที่กีตาร์เก่ามีราคาซื้อขายสูงกว่ากีตาร์ใหม่รุ่นเดียวกันก็เพราะไม้สวยๆมันกำลังจะหมดไปจากโลกแล้วและไม้ยิ่งอายุมากเสียงก็ยิ่งเปิด ถ้าไม้ชนิดไหนใกล้สูญพันธุ์จนมีกฎหมายห้ามซื้อขายก็ยิ่งทำให้กีตาร์ที่ทำด้วยไม้ชนิดนั้นมีราคาสูงขึ้นในตลาดกีตาร์สะสม
Martin D-28 นั้นถ้าคุณซื้อมาใช้แบบทนุถนอมแล้วปล่อยขายอีกสามสิบปีในอนาคตคุณใด้กำไรแน่นอน ถ้าคุณซื้อ D-28 มือหนึ่งราคา 27,600 บาทในปี 1982 คุณจะใด้กำไรเกิน 100% ถ้าคุณขายวันนี้ครับ
กีตาร์ vintage ญี่ปุ่นที่เป็น all solid ก็สะสมใด้นะครับ ลองดูตัวอย่างคือ Yamaha L-10 ปี 1979 ในรูปข้างล่าง
เมื่อสี่สิบปีก่อนคุณสามารถซื้อ L-10 พร้อมกล่องใด้ในราคาประมาณ 10,000 บาท ตอนนี้ L-10 รุ่นแรกสภาพเยี่ยมมีราคาซื้อขายประมาณหกหมื่นบาท คิดเป็นกำไรแล้วสูงกว่า Martin เยอะครับ
แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มสะสมกีตาร์โปร่งคุณควรทราบเรื่องข้อเสียของการสะสมก่อนนะครับ
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผมรู้จักนักสะสมกีตาร์โปร่งอยู่ท่านหนึ่งที่มีกีตาร์แพงๆเก็บใว้เกินสองร้อยตัวคิดเป็นมูลค่าเกินยี่สิบล้านบาทในตอนนั้น ตอนแรกก็ทำห้องโชว์กีตาร์เป็นตู้กระจกในห้องที่มีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิตลอด 24 ชั่วโมง ต่อมาพอเริ่มเบื่อก็ขายออกแต่ในเมืองไทยกีตาร์โปร่งราคาเป็นแสนมันไม่ใด้ขายกันง่ายๆเพราะตลาดมันเล็กมาก
เมื่อยังขายออกไม่หมดก็ย้ายกีตาร์ไปเก็บที่อื่นซึ่งไม่มีการควบคุมความชื้นและอุณภูมิ ผมใด้ไปเห็นและลองกีตาร์เหลือขายซึ่งมีอยู่ร่วมร้อยตัวที่อยู่ในสภาพถูกทอดทิ้ง มีหลายตัวอยู่ในสภาพที่คอยก ท้องป่อง บริดจ์เผยอ ๆลๆ ซึ่งน่าเศร้ามากครับ
การสะสมกีตาร์นั้นต้องมีการดูแลเอาใจใส่และมีค่าใช้จ่ายประจำมากพอสมควรนะครับ ก่อนที่ผมจะเขียนตอบผมก็ใด้ถ่ายรูปเครื่องวัดอุณภูมิและความชื้นในห้องที่ผมเก็บกีตาร์โปร่งใว้เป็นตัวอย่าง
ประเทศไทยมีความชื้นเฉลี่ย 73-80% ในขณะที่ Taylor Guitars แนะนำว่าในห้องเก็บกีตาร์ความชื้นควรอยู่ระหว่าง 45-55% ห้องผมมี RH =52% และอุณภูมิ = 27.3 C ซึ่งน่าจะทำให้กีตาร์มีความชื้นระดับพอดีๆแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นหรอกครับ
กีตาร์ไม้นั้นมันไม่สนใจเรื่องความชื้นสัมพัทธ์ ( relative humidity) มันสนใจแค่ปริมาณของไอน้ำในอากาศ (absolute humidity) ที่มีหน่วยเป็นกรัมต่อลูกบาศเมตร (g/Cu.M) ถ้าอากาศรอบตัวมีไอน้ำมากกว่าตอนที่มันอยูที่โรงงานมันก็ดูดน้ำเข้า ถ้าน้อยกว่ามันก็คายน้ำออก ดังนั้นตัวเลข % ความชื้นจึงไม่มีความหมายถ้าไม่มีตัวเลขอุณหภูมิกำกับ (เพราะอากาศยิ่งร้อนก็ยิ่งอมไอน้ำใด้มากขึ้น) ลองมาหาค่าปริมาณไอน้ำของกีตาร์ Taylor ตอนออกจากโรงงานกันครับ
โรงงาน Taylor มีการควบคุมอุณภูมิที่ 22 C @ 50% RH จากกร้าฟข้างบนจะเห็นใด้ว่าตามเงื่อนไขดังกล่าวมีไอน้ำอยู่ที่ 10 กรัมต่อ ลบม. ในห้องผมมีอุณหภูมิ 27.3 C @ 52% RH ซึ่งมีไอน้ำอยู่ 13 กรัมต่อ ลบม. ซึ่งทำให้กีตาร์ดูดน้ำเข้าและเสียงทึบขึ้นแน่นอน (ค่า absolute humidity ที่ Taylor แนะนำอยู่ระหว่าง 8-12 กรัมต่อ ลบม. นะครับ ถ้ามากกว่านี้ท้องจะเริ่มบวม ถ้าน้อยกว่าท้องจะเริ่มยุบ)
คำถามที่น่าสนใจก็คือความชื้นมากแค่ไหนถึงจะเป็นอันตรายต่อกีตาร์ที่ทำจากไม้ เนื่องจากไม้เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติทางโครงสร้างแตกต่างกันระหว่างชิ้นต่อขิ้น การหาค่าปลอดภัยจึงควรใช้หลักการของ timber design ที่มี safety factor =2 หรือค่าความชี้นที่มากกว่า 2x10 = 20 กรัมต่อ ลบม. น่าจะเป็นอันตรายกับกีตาร์ของคุณถ้าปล่อยใว้นานๆ
จากกร้าฟข้างบน จะเห็นใด้ว่าจุดอันตรายเริ่มจากอุณหภูมิ 30 C @ RH 63% ( AH = 20 g/Cu.M) เท่านั้นเองครับ
ถ้าคุณควบคุมเรื่องอุณภูมิและความชื้นไม่ใด้ก็อย่าเพิ่งสะสมกีตาร์ all solid เลยครับ ความจริงมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ถ้าคนที่คุณอยู่ด้วยเขาไม่ว่าอะไร อย่างผมนี่ยังเก็บใด้เกินสองร้อยตัว (โปร่งและไฟฟ้า) แต่ห้ามนอนดิ้นนะครับ