เรื่องสี sunburst นั้นคนส่วนมากคิดว่า Fender เป็นคนเรียกเจ้าแรกเพราะเขาใช้เป็นสีมาตรฐานของ Fender Stratocaster มาตั้งแต่ปี 1954 แต่ความจริงแล้วสี sunburst เกิดก่อน Strat หลายสิบปีครับ
นิยามของ Sunburst Finishมันคือการไล่ shade สีจากสีอ่อนไปหาสีเข้มให้ดูเหมือนตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นและความมืดกำลังถูกแทนที่ด้วยความสว่างครับ
คำว่า sunburst finish ใช้ใด้กับการไล่สีจากสีเหลืองไปหาสีดำหรือน้ำตาลเข้มเท่านั้น ส่วนการไล่สีอื่นนั้นควรเรียกว่า "burst finish" ตัวอย่างเช่น blue burst, cherry burst, sienna burst, heritage burst ๆลๆ แต่ต้องตัดคำว่า "sun" หรือดวงตะวันออกไปครับ
ประวัติของ Sunburst Finishการทำ sunburst finish นั้นต้องมีสาดให้ละอองสีเข้มไปติดอยู่รอบนอกของสีอ่อนเพื่อไล่ shade อย่างในรูปครับ
การสาดละอองสีนั้นทำใด้ต่อเมื่อพ่นสีเท่านั้น เครื่องดนตรีในยุคโบราณก่อนปี 1900 นั้นเขาการลง shellac ด้วยลูกประคบจึงทำ sunburst ไม่ใด้ Gibson เป็นเจ้าแรกที่ใช้คำว่า "Sunburst" กับกีตาร์รุ่น Style O Artist เมื่อปี 1918 ครับ
การไล่สี sunburst ใด้พัฒนาขึ้นหลังปี 1925 เพราะตอนนั้นบริษัท Dupont ใด้คิดค้นสีแห้งเร็ว nitrocellulose lacquer มาใช้กับรถยนตร์ซึ่งคนทำกีตาร์ก็เลยเอามาใช้กันทุกเจ้า
ลองดูความแตกต่างระหว่าง Gibson L-5 ปี 1924 ที่ยังใช้สี shellac พ่นกับ L-5 ปี 1932 ทีพ่นด้วย nitro ครับ
ความแตกต่างเรื่องราคาระหว่างสี natural กับ sunburstในสมัยโบราณนั้นกีตาร์ archtop ที่ใช้ไม้เปลืองมากมักเอาไม้แผ่นสวยๆที่ไม่มีตำหนิอย่างสีด่างหรือมี run out มาทำสี natural ส่วนไม้ที่สวยน้อยกว่าก็เอาไปทำสี sunburst เพราะมันจะมองเห็นตำหนิไม่ขัด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กีตาร์สี natural มีราคาแพงกว่าทุกเจ้า
Gibson นั้นเริ่มผลิต J-45 ในปี 1942 ราคาขาย $45 ซึ่งมีสี sunburst สีเดียวเพราะในช่วงสงครามนั้นหาไม้สวยๆยาก ต่อมาในปี 1945 ถึงใด้ออกรุ่นสี natural คือ J-50 ราคา $50 ซึ่งแพงกว่า $5 ถ้าอยากรู้ว่า Gibson ชุ่ยแค่ไหนในการซื้อไม้มาทำ J-45 ก็ดูรูปข้างล่างครับ
ส่วน Martin และ Guild นั้นคิดสตางค์เพิ่มประมาณ 8,600 บาทถ้าลูกค้าอยากใด้สี sunburst เพราะเขาไม่มีไม้เกรด B ในสต้อคและสี sunburst มันทำยากกว่าครับ
เดี๋ยวนี้ Gibson ก็คืดสตางค์เพิ่ม 6,300 บาทสำหรับสี sunburst เหมือนกัน