ทีมงาน AcousticThai.Net สัมภาษณ์พิเศษ “Tommy Emmanuel” มือกีตาร์ Finger-Style อันดับ 1 ของโลก
คลิก–> http://acousticthai.net/tommy-emmanuel-interview.html

ประวัติ และ ผลงานเพลง TOMMY EMMANUEL...
“เป็นมือกีต้าร์ที่ดีที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา” by Eric Clapton
“เป็นมือกีต้าร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ถ้าให้ผมต้องเลือกมาแค่หนึ่งคน” by Steve Vai

"Tommy Emmanuel" เกิดที่ New South Wales ในปี 1955 เดือนพฤษภาคม ณ ประเทศออสเตรเลีย
เขาเกิดในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย สามารถที่จะเรียกว่าเป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตแบบค่อนข้างลำบากก็ว่าได้

ในเรื่องของดนตรี Tommy ได้รับการส่งเสริมจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่ตอนเด็ก เมื่ออายุ 4 ขวบกับกีต้าร์ตัวแรกของเขา
"แม่ได้สอนผมให้เริ่มต้น ทำให้ผมรู้ว่า ผมหลงรักมันเข้าอย่างจัง" Tommy เล่าถึงความหลังเมื่อครั้ง 4 ขวบ 

แต่สิ่งที่เรียกว่า มีอิทธิพลต่อการเล่น ทั้งแรงจูงใจ สไตล์การเล่น และเป็นฮีโร่สำหรับเขาก็คือ "Chet Atkins"
Tommy เล่าว่า ตอนเขาอายุ 7 ขวบ เขาได้ยินใครคนหนึ่งเล่นกีต้าร์ด้วยผ่านหน้าปัดวิทยุ สำเนียงที่แตกต่างจากเคยได้ยิน และนั่นก็คือ
"Chet Atkins" นับตั้งแต่วันนั้น "Chet Atkins" ก็เป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่สำหรับ Tommy Emmanuel

Tommy Emmanuel เคยบอกว่า ตอนเด็กๆเขาหลงเสน่ห์กับวิธีการเล่นในแบบ Chet Atkins มาก มันคือสไตล์การเล่นแบบ "Travis Picking"
คือการเล่นโดยใช้หัวแม่มือทำให้เกิดเสียงเบส และใช้นิ้วหนึ่ง สอง สาม เพื่อสร้างส่วนของ Melody หรือทำนอง


"Classical Gas" (cover ในแบบฟิงเกอร์สไตล์) น่าจะเป็นเพลงอันดับต้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ
ทักษะอันสุดอด ความอัฉริยะในการเล่น Acoustic Guitar ของ Tommy ได้เป็นอย่างดี

ประวัติ และ ผลงานเพลง:

Tommy Emmanuel ไม่เคยศึกษาเล่าเรียนทักษะการเล่น Guitar จากที่ใด เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง และจากการสังเกตการเล่นจากผู้อื่น
เขาฝึกจากการพัฒนา มือซ้ายและขวาของตัวเอง เช่น พัฒนาการเล่นของมือซ้ายขวาให้สามารถเล่นกีต้าร์ให้เป็น percussion ได้
โดยให้เกิดเสียงจากตัวกีต้าร์ เราจึงเห็น Tommy เคาะกีต้าร์ตัวเองให้เปรียบเป็น Percussion
เราจึงได้เห็น Soundboard กีต้าร์ของเขายับทุกๆตัว! Tommy ให้นิยามเทคนิคนี่ว่า "hand percussion"

Tommy เคยเขียนจดหมายถึง Chet Atkins ผู้เป็นฮีโล่ของเขา และได้รับจดหมายตอบจาก Chet Atkins, ในปี 1997, เขาได้มีโอกาสทำอัลบั้ม
กับ Chet Atkins โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า The Day Finger Pickers Took Over The World, ก่อนที่ Chet Atkins จะเสียชีวิตลงในปี 2001
ในเดือนมิถุนายน ด้วยวัย 77 ปี 

Tommy Emmanuel นับเป็นมือกีต้าร์ระดับโลก โดยล่าสุดได้รับการคัดเลือกจากบรรดาคนเล่นกีต้าร์ว่า เป็นมืออคูสติกกีต้าร์ อันดับ 1 ของโลก
ด้วยฝีมือและสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ เขาได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งได้รับเกียรติในการโชว์ฝีมือในพิธีปิดการแข่งขัน โอลิมปิค ปี 2000 ที่ซิดนีย์ อีกด้วย

Album: From Out of Nowhere album
Released 1979
1."Limehouse Blues"
2."Dixie Breakdown"
3."Orange Mountain Special"
4."Steel Guitar Rag"
5."Roly Poly"
6."Out of Nowhere"
7."Big Beaver"
8."String of Pearls"
9."Canadian Sunset"
10."Dixie McGuire"

From Out of Nowhere (Tommy Emmanuel album) เป็นงานเพลงอัลบั้มแรกของ Tommy
ออกวางจำหน่าย ในปี 1979 งานเพลงชุดนี้จัดเป็นแนว Country, Bluegrass มีเครื่องดนตรีอย่าง pedal steel
โดยมี Pee Wee Clark มาร่วมด้วย, บทเพลง "Dixie McGuire" เป็นบทเพลงหนึ่งในหลายๆ เพลงที่น่าฟัง ด้วยท่วงทำนอง
ที่ฟังง่าย และทุกๆ Concert ของเขา Tommy มักจะนำเพลงนี้มาเล่นบนเวทีด้วยเสมอๆ

Album: Up From Down Under
Released 1987
1."Up From Down Under"
2."Raindance"
3."Daybreak"
4."Lady Madonna" (Lennon/McCartney)
5."Soul Search"
6."Michelle" (Lennon/McCartney)
7."Initiation"
8."Turning Point"
9."Times Change"
10."Night Sky" 

งานเพลงชุดนี้มีความหลากหลายมากขึ้น คือเป็นทั้ง Pop, Country และ Jazz
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่มีเพียง Acoustic Guitar เพียงอย่างเดียว แต่มีทั้ง bass, electric guitars, hand percussion รวมถึง Saxophone 

"Up from down Under" บทเพลงที่มีความหวานและน่าฟังมากที่สุดเพลงหนึ่งของTommy, ตั้งแต่ท่อน Intro ที่ใช้เทคนิคการเล่นแบบ Harmonic,
ตามด้วย Finger Picking ในท่อนกลาง และ Harmonic ในท่อนจบซ้ำ อีกครั้ง นับเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง 

นอกจากจะมีเพลงที่ Tommy ได้เขียนขึ้นมาเองที่สุดยอดอย่าง UP from down under เขายังได้นำเพลง "Lady Madonna" และ "Michelle"
ที่เขียนโดย Lennon และ Paul McCartney แห่งของวง The Beatles, มาเล่นในแบบบรรเลงอีกด้วย ซึ่งไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
บทเพลง Lady Madonna จึงคลายเป็นแบบฝึกชั้นดี ให้กับผู้ที่สนใจจะฝึกการเล่น Finger style

Album: Dare to Be Different
Released 1990
1."The Rise and Fall of Flingel Bunt"
2."Daybreak Again"
3."Jacaranda"
4."Countrywide"
5."Games of Love and Loneliness"
6."Run a Good Race"
7."Guitar Concierto de Aranjuez"
8."Tequila Slammer"
9."Hearts Grow Fonder"
10."Blue Moon"
11."Guitar Boogie"
12."Encore: Up From Down Under" 

งานเพลงชุดนี้ยังคงคล้ายคลึงกับชุดที่สอง คือเน้นความเป็น Pop, Country และ Jazz บทเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง
"Countrywide" แสดงให้เห็นถึงการเล่นในแบบที่ดุดัน ที่ Tommy ทำได้ดีไม่แพ้การเล่นในแบบหวานหยด 

แม้ในหลายๆ concert เราจะไม่ค่อยได้พบ, Tommy หยิบเพลง Countrywide มาเล่นบ่อยๆ (เมื่อเทียบกับอีกหลายๆเพลง)
แต่ในความเห็นของผู้เขียนยังคงรู้สึกว่า "Countrywide" นับเป็นอีกบทเพลงที่ยอดเยี่ยม
และฟังได้ไม่บ่อยๆ ไม่น่าเบื่อ เสน่ห์ของ เพลง Countrywide น่าจะอยู่ที่การผสมผสานการเล่นหลากหลายเทคนิค
และความดุดันที่เป็นตัวเร้าอารมณ์ให้มันส์...ตามท่วงทำนอง 

"Blue Moon" หากไม่กล่าวถึงบทเพลงนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้กล่าวถึงอัลบั้ม Dare to be different !
ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ความโดดเด่นของบทเพลง Blue Moon น่าจะอยู่ที่เมโลดี้ที่น่ารักในสไตล์บูลส์ผสมแจ๊สเล็กน้อย
โดยเฉพาะท่อน Intro ที่เล่นด้วยเทคนิคการสลับเสียงเบสอย่างต่อเนื่องเพื่อคุมจังหวะ และเล่น
โซโลที่สายหนึ่งสองสาม รวมทั้งเทคนิคการเล่นแบบ Travis picking (boomchick)

Album: Determination
Released 1992
1."Who Dares Wins"
2."Mountain of Truth"
3."Determination"
4."'Cross the Nullabor"
5."Initiation"
6."From the Hip"
7."Imagine"
8."When You Come Home"
9."Fiesta"
10."Precious Time"
11."The Sweetest Love"
12."Stevie's Blues"
13."Nu Shoos Blues" 

Tommy Emmanuel นำบทเพลง "Imagine" ที่แต่งโดยศิลปินชาวอังกฤษหนึ่งในคณะ The Beatles
"John Lennon" ซึ่งเขียนไว้ในปี 1971 ซึ่งนำมาเล่นในแบบบรรเลง(open string)ได้อย่างไพเราะ
หรือบทเพลงอย่าง "Precious Time" ก็นับว่าเป็นเพลงน่าฟังอย่างยิ่ง 

อัลบัมชุดนี้ผสมผสานกันระหว่าง Jazz และ Rock บทเพลงอย่าง "Cross the Nullabor" "Initiation"
แม้จะไม่ใช่ Acoustic เพรียวๆ แต่ก็มีความน่าฟัง หรือบทเพลง "Fiesta" ก็มีท่วงทำนองในแบบฉบับลาตินผสม อย่างชัดเจน

Album: The Journey
Released 1993
1."Tailin' the Invisible Man"
2."Big Brother"
3."Somethin's Goin' On"
4."Hellos & Goodbyes"
5."The Journey"
6."If Your Heart Tells You To"
7."Like Family"
8."Don't Hold Me Back"
9."Villa Anita"
10."White Picket Fences"
11."The Big Swell"
12."Amy" 

อัลบั้ม The Journey เริ่มแตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านๆมา คือมีความเป็น Rock มากขึ้น แต่ก็ยังคงมีความเป็น
Jazz ผสมอยู่เล็กน้อย บทเพลงหลายๆ บทเพลงมีความหนักมากขึ้น และมีเครื่องดนตรีอย่าง Electric Guitar มาใช้มากขึ้นด้วย
แน่นอนถ้าคุณเป็นผู้ที่คาดหวัง ที่จะได้ฟัง Tommy เล่น Acoustic Guitar จากอัลบั้มนี้
คุณจงอย่าซื้อ! เพราะมันอาจจะไม่ตรงกับความต้องการของคุณ แต่ถ้าหากคุณเปิดใจ
ให้กว้าง และอยากรู้ว่า Tommy มีความสามารถอะไรบ้าง เขาเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าได้เจ๋งแค่ไหน?
อัลบั้ม The Journey คงตอบคำถามคุณได้แน่นอน 

Tommy Emmanuel ไม่ใช่เพียงโดเด่นในเรื่อง Acoustic Guitar เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่เล่น Electric Guitar
ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ไม่ว่าเป็นบทเพลงอย่าง Like Family, Don't Hold Me Back, The Big Swell,
Tailin' the Invisible Man, หรือ The Journey ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่น Electric Guitar
ของ Tommy ได้เป็นอย่างดี 

อัลบั้ม The Journey มีเพลงเบาๆ หวานๆ อย่าง "If Your Heart Tells You To" และ "Amy" เพื่อลดอารมณ์ร็อค
ซึ่งสองบทเพลงนี้ มีเมโลดี้ ที่มีความหวานซึ้ง และไพเราะมากทีเดียว 

อัลบั้มชุดนี้มีความหลากหลาย ทั้ง guitar, bass, percussion, violin, keyboard และรวมนักดนตรีเก่งๆ
มาร่วมแจมหลายคน หนึ่งในนั้นคือ "Joe Walsh" หนึ่งในสมาชิกวง The Eagles ที่มาช่วยทำให้อัลบั้มนี้
ได้ Rock อย่างที่เรียกว่า แฟนเพลงที่ชอบ Rock ไม่ผิดหวังแน่นอน

Album: Initiation
Released 1993
1."The Hunt"
2."Day Tripper/Lady Madonna" (Lennon/McCartney)
3."Initiation"
4."Precious Time"
5."Stevie's Blues"
6."Run a Good Race"
7."If Your Heart Tells You To"
8."That's the Spirit"
9."Villa Anita"
10."Since We Met"
11."White Picket Fences"
12."Amy" 

แน่นอนว่า "The Hunt" น่าจะเป็นเพลงหนึ่งที่ดุดัน(ในแบบฉบับอะคูสติก)มากเป็นพิเศษ Tommy
ใช้เทคนิคการริธึ่มด้วยมือขวาที่หนักแน่น ดุดัน บวกกับการโซโลที่รวดเร็ว เผ็ดมันส์ ท่านใดชอบแบบเร้าใจคงจะโดนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 

"Day Tripper/Lady Madonna" ก็ไม่ธรรมดา เป็นการนำเพลงของ The Beatles มาเล่นในแบบ Finger style ได้อย่างยอดเยี่ยม 

บทเพลง "Since We Met" เพลงที่มีจังหวะช้าๆ ซึ่งผสมเข้ากับเมโลดี้ที่สุดจะสวยงาม เกินที่จะบรรยายได้ นับเป็นอีกเพลงที่ยอดเยี่ยมของ Tommy
ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า หลายๆท่านที่ฟัง Since We Met คงจะเลือกเพลงนี้ให้เป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดอีกเพลงของ Tommy. 

"Amy" บทเพลงที่สวยงามไม่ด้อยไปกว่า Since we met ท่อน Intro ที่เปิดด้วยเทคนิคการเล่น Harmonics ทำให้เราต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ!
Amy น่าจะเป็นอีกเพลง ที่ Tommy เล่นด้วยเทคนิค Harmonics ในหลายๆ ช่วงของเพลง


Album: Classical Gas
Released 1995
1."Classical Gas" (Mason Williams)
2."The Journey"
3."Run a Good Race"
4."Concierto de Aranjuez"
5."She Never Knew"
6."Gollywogs Cake Walk/English Country Garden"
7."Who Dares Wins"
8."Initiation"
9."The Hunt"
10."Countrywide"
11."Pan Man" (with Slava Grigoryan)
12."Padre" 

Classical Gas Album เป็นการนำเอาเพลงหลายๆ เพลง ที่เคยอยู่ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ มารวมเข้าด้วยกัน
โดยได้วง Australian Philharmonic Orchestra มาเล่น Backup จึงทำให้อารมณ์ของหลายๆ เพลงที่เรา เคยได้ฟัง ดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

มีการนำเพลง Classic เก่าๆ เช่นเพลง Concierto de Aranjuez และ Pan Man หรือเพลง Padre ที่ Chet Atkin เคยเล่นด้วยกีต้าร์คลาสสิค
เพียงตัวเดียว ได้ถูกนำมาเล่นในแบบ Finger style ที่ผสานเข้ากับวง Orchestra ซึ่งน่าจะถูกใจผู้ที่ชอบฟังเพลง Classic ที่บรรเลงโดยวง Orchestra 

บทเพลง "Classical Gas" และ "The Hunt" ในแบบฉบับเดิมๆ ที่สุดจะเมามันอยู่แล้ว เมื่อนำมาผสมเข้ากับ
วง Orchestra ทำให้เพลงดูอลังกาลมากขึ้น แต่สำหรับ Countrywide ผู้เขียนไม่ถูกใจเท่าไรเมื่อได้ฟัง ในเวอร์ชั่นนี้

บทเพลง "Classical Gas" น่าจะเป็นเพลงอันดับต้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ ทักษะ ความอัฉริยะ
ในการเล่น Acoustic Guitar ของ Tommy ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหากใครเคยได้ชมเวอร์ชั่นที่ Tommy โชว์เดี่ยวเพลง Classical Gas
ด้วยกีต้าร์โปร่งเพียงตัวเดียว คงไม่ปฎิเสธว่า Tommy มีความสามารถมากแค่ไหน!

Album: Midnight Drive
Released 1997
1."Can't Get Enough" – 4:30
2."Villa De Martin" – 4:22
3."Midnight Drive" – 4:09
4."Stay Close To Me" – 3:12
5."Reggie's Groove" (Bowman, Emmanuel) – 4:26
6."No More Goodbyes" – 4:05
7."The Inner Voice" – 4:23
8."Drivetime" (Emmanuel) – 3:07
9."Fields Of Gold" (Sting) – 3:38
10."Song For Nature"(Emmanuel, Hirshfelder) – 5:02 

อัลบั้มนี้มีความผสามผสานระหว่าง Rock, และ Jazz ได้มือกีต้าร์ระดับเซียนอย่าง Larry Carlton มาแจม
บทเพลงที่น่าสนใจอย่าง "Villa De Martin" และ "Stay Close To Me" ที่เมโลดี้ยอดเยี่ยม
ผู้เขียนชื่อว่าหลายๆท่านคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี หรือเพลง "Drive time" ก็เป็นเพลงที่น่าสนใจมากทีเดียว 

และบทเพลง "Fields Of Gold" (ต้นฉบับคือ String แห่งวง The Police) บทเพลงนี้ไม่ว่าจะถูกนำมา cover
ด้วยการร้องหรือบรรเลงในแบบใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ชวนให้ฟังทั้งนั้น และแน่นอนว่า...
Tommy ได้นำมาเพลงนี้มาเล่นในเวอชั่น Finger Style ได้อย่างน่าชวนฟังเช่นกัน

Album: The Day Finger Pickers Took Over the World
Released 1997
1."Borsalino” (Bolling)
2."To 'B' Or Not To 'B'" (Atkins, Goodrum)
3."The Day Finger Pickers Took Over the World" (Atkins, Kaitz, Pomeroy)
4."Tip Toe Through the Bluegrass" (Atkins)
5."News From the Outback" (Atkins)
6."Ode to Mel Bay" (Atkins, Denny, Granda)
7."Dixie McGuire" (Emmanuel)
8."Saltwater" (Lennon, Spiro)
9."Mr. Guitar" (Emmanuel)
10."Road To Gundagai/Waltzing Matilda" (Trad.)
11."Smokey Mountain Lullaby" (Atkins) 

นับเป็นอัลบั้มสุดยอด และมีคุณค่าอีกอัลบั้มหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เป็นแฟนเพลง Tommy Emmanuel และ Chet Atkins
อัลบั้ม The Day Finger Pickers Took Over the World เป็นอัลบั้มแรก และอัลบั้มสุดท้ายระหว่าง Tommy และ Chet Atkins,
ก่อนที่ Chet Atkins จะเสียชีวิตลงในปี 2001 ในเดือนมิถุนายน ด้วยวัย 77 ปี

งานเพลงชุดนี้ได้บันทึกในช่วงที่ Chet Akins มาอายุ 73 ปี! ความสูงวัยของ Chet Atkins ไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด
เมื่อฟังอัลบั้มนี้จบ บอกได้อย่างเต็มปากว่า ทุกๆเพลงที่ Chet Atkins บรรเลง
ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และฝีไม้ลายมือ ชั้นเชิงอันยอดเยี่ยมในการเล่นกีต้าร์ของ Chet Atkins 

"The Day Finger Pickers Took Over the World" เป็นเพลงหนึ่งที่มีเสน่ห์ มีความลงตัวระหว่าง Tommy & Chet Akins เป็นอย่างมาก
ท่วงทำนองในแบบ Bluegrass ทำให้เพลงนี้ยิ่งน่าฟัง การร้องตอบโต้กันไปมาระหว่าง Tommy & Chet Akins ทำเอาเราฟังไปยิ้มไป

"Tip Toe Through the Bluegrass" ที่บรรเลงโดย Chet Atkins แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันสุดยอดของ
Chet Atkins ได้เป็นอย่างดี เครื่องสายอย่าง Fiddle ช่วยทำให้กลิ่นดนตรี Bluegrass โชยอบอวนตลอด เพลงที่บรรเลง 

มีคำกล่าวว่า ถ้าจะฟังเพลง Country แบบให้ได้อรรถรส และมีกลิ่นไอแบบต้นฉบับดั่งเดิม ต้องฟังเพลงที่
มาจาก Nashville บางเรียกว่า Nashville Sound ผู้เขียนคิดว่า เพลง "Tip Toe Through the Bluegrass"
น่าจะสื่อออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า Chet Atkins ได้รับอิทธิพล และสำเนียงทางดนตรีมากจาก Nashville
หรืออย่างเพลง "Ode to Mel Bay" ก็แสดงให้เห็นถึง Nashville Sound ในแบบ Chet Atkins ได้เป็นอย่างดี 

"Smokey Mountain Lullaby" Chet Atkins บรรเลงเพลงนี้ด้วย Classic Guitar ได้อย่างไพเราะ, เพลงนี้
เคยถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัล Grammy award for Country Instrumental Performance 

อัลบั้มชุดนี้มีความหลากหลายทางด้านเครื่องดนตรี คือมีทั้ง Acoustic Guitar, Drums, Acoustic bass,
เครื่องสายอย่าง Fiddle หรือเครื่องเคาะอย่าง conga, เครื่องเป่าอย่าง harmonica, และ juice harp ล้วนสร้าง
สีสันให้กับอัลบั้มนี้เป็นอย่างมาก 

"The Day Finger Pickers Took Over the World" จึงเป็นงานเพลงที่มีคุณคามากที่สุดอัลบั้มหนึ่ง
โดยเฉพาะแฟนเพลง Tommy Emmanuel และ Chet Atkins

Album: Endless Road
Released 2005
1."Endless Road” – 4:32
2."Tall Fiddler" – 2:28
3."(The Man With The) Green Thumb" – 3:20
4."Bella Soave" – 2:22
5."Morning Aire" – 5:56
6."Angelina" – 3:41
7."Windy & Warm" (John D. Loudermilk) – 2:48
8."Chet's Ramble" (Chet Atkins, Tommy Emmanuel) – 2:42
9."Son Of A Gun" – 1:50
10."Sanitarium Shuffle" – 3:18
11."La Visita" – 3:24
12."Mona Lisa" (Evans, Livingston) – 3:53
13."Christmas Memories/Wheels" (Petty, Emmanuel) – 3:23
14."Old Town" – 3:04
15."Somewhere Over The Rainbow" (Harold Arlen, E. Y. Harburg) – 4:21
16."I Still Can't Say Goodbye" (Binn, Moore) – 3:25
17."Today Is Mine" (Jerry Reed Hubbard) – 2:44
18."Struttin'" (Jerry Reed Hubbard) - 2:39 (Only on U.S. version)
19."Pegao" (Jose Feliciano) - 6:20 (Only on U.S. version) 

หากย้อนกลับไปฟัง ในบรรดาอัลบั้มทั้งหมดก่อนหน้านี้ ผู้เขียนเชื่อว่าอัลบั้ม "Endless Road" น่าจะเป็นอัลบั้มแรกที่แฟนๆ Tommy
จะได้ฟังเขาเล่น Acoustic Guitar อย่างเต็มอิ่ม และเพลงส่วนใหญ่ที่นำ มารวมไว้ในอัลบั้ม Endless Road ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงสุดยอดทั้งนั้น! 

ไม่ว่าจะเป็นเพลง "Endless Road" หรือ "Angelina" ซึ่งนับเป็นบทเพลงที่มีเมโลดี้สวยงาม ด้วยเทคนิคการเล่นฮาโมนิคในท่อน Intro, บทเพลง "Angelina"
น่าจะเป็นเพลงหนึ่งในหลายๆ เพลง ที่แฟนเพลง Tommy ประทับใจ, Tommy เล่าว่า เพลงนี้มีความสำคัญกับชีวิตเขามาก เพราะเป็นเพลงที่สื่อถึงความรักของเขา
ที่มีต่อลูก Tommy ตั้งใจเขียนท่อน Intro ของเพลงนี้ด้วยการนำชื่อลองลูกสาวมาใช้ นั้นคือการให้เมโลดี้ของเพลง ได้สะกดชื่อ "An - Ge - Li - Na" (4 คำ)
และนี้ก็คือความสวยงาม ความงดงามของเพลงนี้ และก่อนที่ Tommy จะเล่นเพลงนี้ เขามักจะพูดถึงลูกสาวอยู่เสมอๆ 

"Windy & Warm" เพลงในแบบฉบับ Country Music ที่เขียนโดย John D. Loudermilk ซึ่งเป็นสหายกับ Chet Atkin ว่ากันว่า
ก่อนที่ John D. จะทำเพลงนี้ได้สำเร็จ เขาได้ Chet Atkin มาช่วยทำให้เพลงนี้จบลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม Chet Atkin ก็ให้เครดิตกับ John D.
โดยกล่าวเสมอๆว่าผู้แต่งเพลงนี้คือ John D. Loudermilk, John D. เป็นศิลปินแนว Country กลางยุค 50's เมโลดี้อันยอดเยี่ยม
ของเพลง Windy & Warm จึงทำให้ศิลปินต่างๆ มากมายหลายคน ได้นำมาเพลงนี้มาเล่น ไม่ว่าจะเป็น Chet Atkins, Doc Watson,
Tony Rice, Tommy Emmanuel, Norman Blake และอีกมากมาย 

สำหรับอัลบั้ม Endless Road เราจะได้ยิน Tommy Emmanuel ร้องเพลง "I Still Can't Say Goodbye"
ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ยิน Tommy ร้องเพลง งานเพลง "I still can't say Goodbye" เคยอยู่ในอัลบั้ม Chet Atkins /Columbia 1988
เพลงนี้หลายๆท่านที่เคยชม Concert ของ Chet Atkins & Friend ในปี 1988 (ที่ Mark Knopfler ยืนเล่นกีต้าร์บนเวทีคู่กับลุง Chet)
คงจะยังซึ้งใจกับภาพที่ลุง Chet ร้องเพลง I Still Can't Say Goodbye ซึ่งเรียกน้ำตาผู้ชมได้! ผู้เขียนเองยังจำภาพนั้นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน 

"I Still Can't Say Goodbye" บทเพลงที่บอกเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ของเด็กชาย ซึ่งบอกเล่าถึงผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง ด้วยความอาลัย
บอกเล่าถึงภาพในอดีตต่างๆที่เขาได้เห็น ซึ่งไม่ว่าจะกี่วันเดือนปีผ่านไป กี่หยดน้ำตาที่ไหลริน ก็ไม่อาจ
จะห้ามความคิดถึงที่มีต่อพ่อได้ ความคิดถึง ความอาลัยนั้น ก็ยังคงไม่ลืมเลือน และในกระทั่งวันนี้
ในทุกๆครั้งที่เขาได้เดินผ่านสถานที่ต่างๆ หรือเหตุการณ์บางอย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง...พ่อ คล้ายกับว่าพ่อเขายังไม่จากไปไหน

สรุป Endless Road นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ต้องหาซื้อมาสะสมไว้ ไม่ควรพลาด!

Album: Live One
Released 2005
1."Beatles Medley"
2."Peter Allen Medley/Waltzing Matilda"
3."Classical Gas"
4."Old Fashioned Love Song"
5."Son of a Gun"
6."Dixie MacGuire"
7."Country Wide"
8."Saltwater"
9."Borsalino"
10."Up from Down Under"
11."Morning Aire"
12."Those Who Wait"
13."Michelle"
14."Questions"
15."Angelina"
16."Precious Time/That's the Spirit"
17."Mona Lisa"
18."Mombasa" 

CD2 Track listing
1."Amazing Grace"
2."House of the Rising Sun"
3."Guitar Rag"
4."Blue Moon"
5."Mozzarella Tarantella"
6."Guitar Boogie"
7."Train to Dusseldorf"
8."One Mint Julep"
9."Hunt"
10."Initiation" 

อัลบั้ม Live One นับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ได้รวบรวมบทเพลงอันยอดเยี่ยมของ Tommy Emmanuel ไว้มากมาย ไม่ว่าเป็นเพลง "Classical Gas"
ที่เราเคยได้ฟัง Tommy เล่นโดยมีวง Orchestra มาแจมด้วย แต่สำหรับใน Live One เราจะได้ฟัง Tommy เล่นเดี่ยวด้วย Acoustic Guitar เพียงตัวเดียว
ชนิดที่เรียก ได้เต็มปากเต็มคำว่าดุดัน เจ๋ง เด็ด และเร้าใจเป็นอย่างมาก 

Tommy แสดงความอัฉริยะ ทักษะ และความสามารถพิเศษ ในการเล่น Acoustic Guitar ผ่านเพลง Classic Gas ได้อย่างน่าทึ่งมาก
บทเพลง "Classical Gas" เป็นอีกหนึ่งบทเพลง ที่ใครก็ตามที่ได้ฟังต้องหลงเสนห์กับบทเพลงนี้อย่างแน่นอน

"Country Wide" Tommy ได้นำเพลงนี้มาเล่นใน Live One อีกครั้ง Country Wide นับเป็นอีกเพลงที่ยอดเยี่ยม จังหวะที่ปลุกเร้าอยู่ตลอดเพลง
และการนำเทคนิคการเล่นแบบ Travis picking มาผสานเข้าไป กับการเล่นโซโลที่รวดเร็ว จึงทำให้ฟังนี้น่าฟังเป็นอย่างมาก 

"Dixie MacGuire" "Up from Down Under" "Angelina" น่าจะเป็นเพลงที่ฟังได้ง่าย และสบายๆ ด้วยจังหวะที่ไม่หนักเกินไป 

"Those Who Wait" ฟังดูออกจะเศร้าๆ ปนเหงาๆ แม้จะไม่มีเนื้อร้องที่สื่อออกมา แต่การเล่นในแบบ Open string ก็ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

"Mombasa" ทำให้ตื่นจากความเหงา(หลังจากฟัง Those Who Wait) เป็นเพลงหนึ่งที่เมโลดี้สวยงามดี

"Borsalino" ถูกนำมาเล่นอีกครั้ง หลังจากที่เพลงนี้เคยถูกเล่นโดย Chet Atkins มาก่อนหน้านี้
และเมื่อฟังเพลงนี้ ในสไตล์นี้ ก็อดที่จะคิดถึง Chet Atkin ไม่ได้ 

"Amazing Grace" เพลงนี้ก็น่าเป็นอีกเพลง ที่ไม่ว่าจะนำมาเล่นในแบบใดก็ตาม ก็ยังคงความหวาน
ความไพเราะได้ในทุกๆ ครั้ง ทุกๆ โอกาส ฟังแล้วอดคิดถึง Joan Baez ไม่ได้ กำลังคิดไปว่า ถ้าให้ Joan Baez ร้องเพลงนี้บนเวที
แล้วให้ Tommy Emmanuel เล่นกีต้าร์ มันน่าจะเป็นภาพ และเพลงที่สุดยอดเพลงหนึ่ง

"Mozzarella Tarantella" Tommy โชว์ความเร็วในการโซโลกีต้าร์อีกครั้ง หลังจากฟังจบยืนยันได้เลยว่า Tommy เป็นคนที่เล่นโซโลได้เร็วมาก
ผู้เขียนคิดว่า อาจจะเร็วไม่แพ้กับ AL Di MEOLA - JOHN McLAUGHLIN - PACO de LUCIA อัลบั้มแน่นอน
และถ้า Steve Via เร็วที่สุดในสายร็อค Tommy Emanuel ก็น่าจะไวที่สุดในสายอะคูสติก!
Tommy Emmanuel... ไม่ได้เป็นแค่เพียงนักดนตรี ที่เล่นดนตรีเก่ง แต่เขาเป็นนักแสดง (Entertainer) ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ทุกๆครั้งที่เขาอยู่บนเวที
เขาทำให้เราสนุกสนานและเพลินไปกับการแสดงในทุกๆเวที ทั้งคำพูดที่มีมุขตลอด ทั้งท่าทางที่แสดงออก
ขณะที่เขาเล่น Acoustic Guitar เขาพยามยามเล่น กับผู้ชมตลอดเวลา เหมือนว่า เรา(ผู้ชม), ทอมมี่, เพลงของทอมมี่
และกีต้าร์ของทอมมี่ กำลังเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน 

เพลงแต่ละเพลงที่ Tommy เขียนและเรียบเรียง, ท่วงท่าการเล่นอะคูสติกกีต้าร์ที่เร้าใจ เสียงอะคูสติกกีต้าร์ที่ผ่านการ Finger Picking
และ Strumming หรือแม้แต่เทคนิคการเคาะกีต้าร์ ด้วยมือซ้ายขวาที่ตบลงบน Soundboard (hand percussion) ของกีต้าร์ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า
นี่คือความอัฉริยะ นี่คือพรสวรรค์ที่ไม่ได้มีในทุกๆคน และไม่สามารถปฎิเสธได้เลย หากใครจะยกให้ Tommy Emmanuel เป็นมือ 1 ของโลก! 

ในเวลาหนึ่ง ในยุคหนึ่ง... หากเคยมีใครให้เกียรติ์ และยกย่อง "Chet Atkins" ไว้ในระดับใด
วันนี้ ผู้เขียนก็อยากที่จะให้เกียรติ์ และยกย่อง "Tommy Emmanuel" ไว้ในระดับนั้น เช่นกัน...

โดย ทีมงานอะคูสติกไทย