GOODBYE Michael, R.I.P

ขอไว้อาลัยแด่ Michael Jackson ผู้จากไป แต่อยู่ในใจเราเสมอๆ...

You are not alone
I am here with you
Though we're far apart
You're always in my heart
You are not alone

ท่อน Hook เพลง "You are not Alone" ดังมาจากเครื่องเล่น ซึ่งเป็น
บทเพลงที่ไมเคิล แจ็กสัน ได้ร้องด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ได้ฟังครั้งใดก็รู้สึกอบอุ่น
รู้สึกไม่โดดเดี่ยว เหมือนอย่างชื่อเพลงบอกเอาไว้

ผมเพิ่งหยิบมาฟังครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ เวลานั้นฟังก็ให้ความรู้สึกเดิมๆ คือ ไพเราะ
แต่ครั้งนี้ ดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมฟังด้วยความเศร้า เสียใจ รู้สึกอาลัย กับการจากไป
ของไมเคิล หลายคนอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับผู้ฟัง(เช่นผม) ที่ชอบฟังเพลง และ
ที่มากไปกว่านั้นคือ ผมได้เอาตัวเองไปผูกพันกับศิลปิน จึงทำให้เรารู้สึกว่าผูกพัน
จำได้ว่า เมื่อตอนเรียนประถมชั้นปีที่ 6 ผมได้รับเสื้อเป็นของฝากจากน้าชาย เสื้อตัวนั้นเป็นตัวโปรดของผมเลย
เพราะมันถูกสกรีนด้วยรูปหน้าของ ไมเคิล แจ็กสัน ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เสื้อตัวนี้มา ซักและใส่ชนิดแบบวันเว้นวัน!

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เพลงของไมเคิลกำลังดังเป็นพุแตก ท่าเต้นที่เราๆ เรียกกันว่า "Moonwalk" (ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ
ไมเคิล) กำลังเป็นที่นิยม วัยรุ่นสมัยนั้นชอบและพยายามที่จะเต้นตาม และที่สร้างความฮือฮา ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มาก ก็คือ...ท่าลูบเป้า!

Moonwalk (มูนวอล์ก) เป็นท่าเต้นรำท่าหนึ่งที่ผู้เต้นแสดงอากัปกิริยาเหมือนกำลังเดินไปข้างหน้า แต่ความจริงแล้วกำลังเดินถอยไปข้างหลัง
(ดูคล้ายกับกำลังเดินไปข้างหน้า บนพื้นสายพานที่กำลังหมุนไปอีกทางหนึ่ง)

Michael Joseph Jackson (MJ) คือชื่อเต็มๆ ของไมเคิล เขาเกิดวันที่ 29 สิงหาคม 1958
ณ แกรี่ อินเดียนา ประเทศอเมริกาเขาเป็นหนึ่งในพี่น้องแจ็กสันที่ฟรอมวงขึ้นมา ประกอบด้วย
Marlon, Jackie,Tito, Michael, และ Jermaine เป็นแนวเพลงแบบ R&B, Soul Pop
ภายใต้ชื่อ Jackson 5 เขาเริ่มร้องเพลงกับวงด้วยอายุเพียง 7 ปีในช่วงปลายปี 1960 

ต่อมาในปี 1972 เขาได้ออกอัลบัมเดี่ยวเป็นครั้งแรกชื่อ "Got to be there" ซึ่งได้รับความนิยมมากทีเดียว
มีเพลงทีได้รับความนิยมเช่น Ain't No Sunshine, You've got a friend, หรืออย่างเพลง Got to be there เป็นต้น 

อัลบัมของไมเคิล สามารถขึ้นติด US pop album chart ในอันดับที่ 40 และสามารถขึ้นใน US R&B album chart
ติดอันดับ 4 และนิตยสาร ชื่อดังอย่าง Rolling stone ยังตีพิมพ์เรื่องของไมเคิลอีกด้วย ซึ่งอัลบัมเพลงชุดนี้เป็น
แนวเพลง R&B, Pop/Rock ซึ่งเพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเก่าที่นำำมาร้องใหม่ในแบบของเขา

ในปีเดียวกัน ไมเคิลได้ออกผลงานชุดที่สอง ชื่ออัลบัม "Ben"
ผลงานเพลงชุดนี้ยังคงเป็นแนวเพลงที่ไมเคิลชอบและถนัด ก็คือ R&B, Pop/Rock
งานเพลงชุดนี้ออกจำหน่ายปลายปี 72' มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่นเพลง Ben
ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เพียงแค่สัปดาห์แรก เพลงนี้สามารถติดอันดับ US pop chart
นอกจากจะติดอันดับต้นในอเมริกา เพลงนี้ยังดังข้ามประเทศไปยัง Australian, British
หรือแม้แต่ในเอเชียบ้านเรา ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน นอกจากนี้ บทเพลง Ben ยังได้รับรางวัล
Academy Award อีกด้วย เพลง "Ben" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรก
ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของนิตยสารบิลบอร์ด และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ เพลง Ben เป็นเพลงหนึ่งที่ไมเคิลถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่างยอดเยี่ยม

ในปี 1973 ผลงานเดี่ยวของเขาได้ออกมาอีกครั้ง ใช้ชื่ออัลบัม "Music & Me"
ซึ่งออกวางจำหน่ายต้นปี 1973 งานเพลงชุดนี้ดูจะแตกต่างจากอัลบัมอื่นๆ
ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลจาก Stevie Wonder, โดยเขาได้นำเพลง "With a Child's Heart"
ของ Stevie Wonder มาร้องใหม่ ในรูปแบบของไมเคิลเอง, และผลงานชุดนี้ ไมเคิลได้มีส่วนร่วมในงานเพลงมากขึ้นอีกด้วย

ผลงานลำดับที่สี่ ภายใต้ชื่ออัลบัม "Forever, Michael" ออกวางจำหน่ายต้นปี 1975 งานเพลง
ชุดนี้มีเพลงไพเราะหลายเพลง เช่น One Day in Your Life, We're Almost There หรืออย่างเพลง
Just a Little Bit of You

บทเพลง One Day in your Life สามารถขึ้นติดอันดับหนึ่งใน UK chart! อัลบัมชุดนี้ ไมเคิลมีสไตล์
การร้องที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง อาจจะด้วยวัยที่เขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น (ด้วยวัย 18 ปี)ผลงานลำดับที่สี่
ภายใต้ชื่ออัลบัม "Forever, Michael" ออกวางจำหน่ายต้นปี 1975 งานเพลงชุดนี้มีเพลงไพเราะหลายเพลง
เช่น One Day in Your Life, We're Almost There หรืออย่างเพลง Just a Little Bit of You

บทเพลง One Day in your Life สามารถขึ้นติดอันดับหนึ่งใน UK chart!
อัลบัมชุดนี้ ไมเคิลมีสไตล์ การร้องที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง อาจจะด้วยวัยที่เขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น (ด้วยวัย 18 ปี)

ในปี 1979 อัลบัม "The Wall" เป็นก้าวแรกสำหรับอัลบัมเพลงของไมเคิล เนื่องจากเป็นครั้งแรกของงานอัลบัมที่สามารถ
เปิดตัวที่ทำยอดขายกว่า 20 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ผลงานเพลงชุดนี้ ไมเคิลเริ่มเพิ่มรูปแบบของดนตรีให้มีอะไรที่มากกว่าชุดก่อนๆ หน้านี้
คือไม่ใช่แค่ POP / R&B แต่เป็นทั้ง R&B, club/dance, disco, dance-pop, funk, pop 
และ rock แบบที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในยุคนั้น ผลงานชุดนี้เป็นชุดที่ไมเคิลได้เป็น
ผู้กำกับงานเพลงเองอีกด้วย (producer) ไมเคิลได้เขียนเพลงรวม เพลง คือ "Don't Stop 
'til You Get Enough" "Workin' Day and Night" "Get on the Floor" บทเพลง The wall ขึ้นติดชาร์ตในบิลบอร์ดถึงอันดับ 10

ผลงานอัลบัมลำดับที่ 6 นี้ นับเป็นผลงานเพลงที่ทำให้ไมเคิล ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ทั้งทางด้านรางวัล ยอดขาย การตอบรอบจากแฟนเพลง ชื่อเสียง ฯลฯ 

อัลบัมนี้วางจำหน่ายในปลายปี 1982 คือในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเริ่มบันทึกเสียงตั้งแต่เดือนเมษายน
รวมระยะราว 8 เดือนในการทำงานเพลงกับอัลบัม Thriller 

งานเพลงชุดนี้ ยังคงมีรูปแบบของดนตรีคล้ายชุดที่ผ่านมา (The wall) คือมีทั้ง funk, disco, soul, soft rock, R&B
และ pop และนอกจากบททาทของนักร้องแล้ว ไมเคิลยังได้เขียนเพลงรวมถึง 4 เพลง
คือเพลง "Wanna Be Startin' Somethin'", "The Girl Is Mine" (ร่วมกับ Paul McCartney),
"Beat It" and "Billie Jean" ซึ่งทุกๆเพลงล้วนได้รับความนิยมทั้งสิ้น และไมเคิลยังได้เป็น producer เองด้วย

ในปี 1984 อัลบัม Thriller ได้รับรางวัล Grammy Award for Album of the Year
"Thriller MV" ที่ทำให้ผู้คนรู้จักผลงานของ Michael Jackson และโด่งดังไปทั่วโลก...

อัลบั้มประวัติศาสตร์ “ Thriller ” (พ.ศ. 2525) ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลถึง 60 ล้านชุด
ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครทำได้มากกว่านี้

ผลงานเพลงชุดนี้ยังถูกกล่าวขานถึงว่าเป็นต้นแบบ MV ที่ฉีกกฎ ซึ่งไม่ใช่แค่ MV แต่เป็นการสร้างศิลปะลงใน MV.

ผลงานอัลบัม Thriller นี้ ยังเป็นจุดกำเนิดท่าเต้น "Moonwalk" ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของไมเคิล จนถึงเดี๋ยวนี้ 

Moonwalk (มูนวอล์ก) เป็นท่าเต้นรำท่าหนึ่งที่ผู้เต้นแสดงอากัปกิริยาเหมือนกำลังเดินไปข้างหน้า
แต่ความจริงแล้วกำลังเดินถอยไปข้างหลัง (ดูคล้ายกับกำลังเดินไปข้างหน้า บนพื้นสายพานที่กำลังหมุนไปอีกทางหนึ่ง)

ในปี 1987 ไมเคิลออกงานเพลงชุดใหม่ชื่อ "BAD" อัลบัมชุดนี้ทิ้งห่างจากอัลบัมก่อนหน้านี้ (Thriller) ถึง 5 ปี
แต่ไมเคิลไม่ทำให้แฟนเพลงที่รอคอยเขาผิดหวัง หลังจากงานเพลงชุดนี้อออกวางจำหน่าย “ Bad ” (พ.ศ. 2530)
ที่สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นอัลบัมที่มีซิงเกิ้ลต่าง ๆ ขึ้นถึงอันดับ 1 บิลบอร์ดมากที่สุดรายชื่อเพลงอัลบัม "Bad"

1. "Bad" 4:07
2. "The Way You Make Me Feel" 4:58
3. "Speed Demon" 4:03
4. "Liberian Girl" 3:53
5. "Just Good Friends"(Terry Britten, Graham Lyle, duet with Stevie Wonder)4:08
6. "Another Part of Me" 3:54
7. "Man in the Mirror" (Glen Ballard, Siedah Garrett) 5:19
8. "I Just Can't Stop Loving You" (duet with Siedah Garrett) 4:13
9. "Dirty Diana" 4:40
10. "Smooth Criminal"
บทเพลง "Bad" อีกหนึ่งเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Michael Jackson...


single ที่ออกมา และได้ขึ้นชาร์ตต่างๆ

July 1987 - "I Just Can't Stop Loving You" U.S. #1 / UK #1
September 1987 - "Bad" U.S. #1 / UK #3
November 1987 - "The Way You Make Me Feel" U.S. #1 / UK #3
January 1988 - "Man in the Mirror" U.S. #1 / UK #21
April 1988 - "Dirty Diana" U.S. #1 / UK #4
July 1988 - "Another Part of Me" U.S. #11 / UK #15
September 1988 - "Smooth Criminal" U.S. #7 / UK #8
January 1989 - "Leave Me Alone" UK #2
June 1989 - "Liberian Girl" UK #13

ดังนั้น... อัลบัม "BAD" คืออีกหนึ่งผลงานประวัติศาสตร์ ที่ยากจะเกิดขึ้นได้อีกในวงการเพลง

ในปี 1991 ผลงานอัลบัม "Dangerous" ออกมาสร้างความฮือฮาให้วงการเพลง และโดยเฉพาะกับแฟนเพลง
ของไมเคิลอีกครั้ง บทเพลงยอดเยี่ยม “ Black or White ” ติดอันดับ 1 ทั้งในบิลบอร์ด และชาร์ตเพลงทั่วโลกทันที!
บทเพลง "Black or White" ที่ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อหา และ MV เป็นผลงานเพลงอันสุดยอดหนึ่งของไมเคิ้ล...


เพลงนี้ดังเป็นพลุแตก! อย่างรวดเร็ว ทั้งในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย งานอัลบัมนี้คงเป็น R&B, club/dance, disco,
dance-pop, funk, pop และ rock ในแบบที่ไมเคิลถนัด และเขายังคงเป็น Producer ด้วยเช่นเดิม

นอกจากบทเพลงเร็วๆ ที่มีจังหวะสนุกอย่าง Black or White จะประสบความสำเร็จ ยังมีอีกหลาย
บทเพลงที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดี หนึ่งในนั้นมีเพลงช้าๆ ซึ่งเป็นเพลงตำนานมาถึงปัจจุบันนี้
นั่นคือเพลง "Heal the World" บทเพลงนี้ถูกจัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลด้วย และซิงเกิ้ลนี้สามารถ
ขึ้นไตร่อันดับ 2 ใน UK single chart ในปี 1992 (แพ้อันดับหนึ่งให้กับบทเพลง I will always love you ของ Whitney Huston)

บทเพลง Heal the World เขียนโดยไมเคิล ที่เขาพยายามสร้างจิตสำนึกให้ผู้คนช่วยกันดูแล
โลกสิ่งแวดล้อม, โดยเขาได้เป็น Producer ร่วมกับ David Foster, Heal the World ทำให้แฟนเพลง
ไมเคิลได้รู้ว่า นอกจากไมเคิลจะร้องเพลงเก่ง เต้นเก่ง เป็นนักแสดงที่เก่ง เขายังเป็นนักเขียน/แต่งเพลง ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

รายได้ส่วนจากการจำหน่ายซิงเกิ้ล Heal the World ได้นำเข้าองค์กรการกุศล "HTWF"
Heal the World Foundation ที่ไมเคิลก่อตั้งในปี 1992

ปี 1995 ผลงานอัลบัม "History" ออกวางจำหน่าย ซึ่งเป็นการนำเพลงเก่าๆ จาก อัลบัมก่อนหน้านี้ มารวมเข้ากัน
และมีเพลงใหม่ๆ ที่ตัดมาเป็นชิงเกิ้ล ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น Scream/Childhood ที่สามารถติดชาร์ตเช่นกัน

- You are not Alone เพลงนี้ขึ้นชาร์ตอย่างรวดเร็ว แค่เพียงสัปดาห์แรก ทั้งในอเมริกา
และอังกฤษ, Single นี้ออกจำหน่ายเดือน สิงหาคม 1995 เป็นเพลงช้าในแบบ R&B Ballad
เพลงนี้แต่งโดย K. Kelly (ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง R&B)

MV เพลง You are not alone ยังสร้างความฮือฮา ที่ไมเคิลได้ร่วมแสดง MV คู่กับ
Lisa Marie (ลูกสาว Elvis Presley) ภรรยาของเขาที่เพิ่งแต่งงานกัน, เพลงนี้ได้รับทั้งรางวัล
Grammy, America music Award, 

- They don't care about us ขึ้นอันดับ 30 ในบิลบอร์ด

- Earth Song จำหน่ายเดือนพฤศจิกายน 1995 มียอดจำหน่ายสูงใน UK มากกว่า 1 ล้านแผ่น
และเพลงนี้ยังได้รับรางวัล Grammy nomination for Best Music Video ในปี 1996 เนื้อหา
ของเพลงเป็นการรณรงค์ในการปกป้องรักษาโลก โดยเพลงนี้ไมเคิลเป็นผู้เขียน

- Stranger in Moscow ซิงเกิ้ลนี้กลับได้รับเสียงตอบรับดีในยุโรบ คือ
Spain และ Italy ขึ้นชาร์ตในอันดับ 4
ใน UKขึ้นชาร์ตในอันดับ 5
ใน Switzerland ขึ้นชาร์ตในอันดับ 6
ใน New Zealand ขึ้นชาร์ตในอันดับ 9 เป็นต้น
และยอดจำหน่ายทั้งหมดรวม 540,000 แผ่นทั่วโลก ออกวางจำหน่ายปลายปี 1996

ในปี 2001 เขาได้ออกอัลบัม "Invincible" เป็นอัลบัมสุดท้ายก่อนที่จะห่างหายไปจากวงการ
แถมมีข่าวไม่ค่อยจะสู้ดีนักกับภาพลักษณ์ของไมเคิล

อัลบัมนี้มีซิงเกิ้ลที่น่าสนใจ 3 เพลง คือ
"You Rock My World"
"Cry"
"Butterflies"

มียอดจำหน่ายมากกว่า 10 ล้านแผ่นทั่วโลก


ไมเคิล แจ็กสัน เปิดตัวซิงเกิล Thriller ครั้งแรกในปี 1982 ซึ่งกลายมาเป็นเพลงฮิตโด่งดังทั่วโลก
และติดอันดับท็อปเท็นชาร์ตเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ อัลบัมดังกล่าวขายได้มากถึง 21 ล้านแผ่น
ในสหรัฐฯ และมากกว่าอีก 27 ล้านแผ่นจากทั่วโลก

ในปีต่อมาเขาได้สร้างตำนานการเต้นแบบ “มูนวอล์ก” ขณะกำลังแสดงเพลง Billie Jean เมื่อครั้ง
ออกอากาศรายการพิเศษทาง NBC

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เชื่อว่ายอดขายอัลบัมทั้งหมดของเขาน่าจะมีจำนวนมากกว่า 750 ล้านแผ่น
พร้อมกันนั้นยังการันตีความสำเร็จด้วยการได้รับรางวัลแกรมมีเป็นจำนวน 13 รางวัลในสาขาต่าง
ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักร้องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลก

ในปี 1993 ไมเคิล แจ็กสัน ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายวัย 13 ปี
ในปีเดียวกันนั้นเอง แจ็กสัน ออกมาประกาศว่าเขากลายมาเป็นผู้ติดยาแก้ปวดอย่างหนัก
และยกเลิกการเดินสายโปรโมตอัลบัม Dangerous ทั่วโลกลงทันที
ในปี 1994 มีข่าวว่าเขาถูกดำเนินคดีและจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนกว่า 23 ล้านดอลลาร์ให้กับครอบครัวของเด็กชายที่ตกเป็นข่าว
ในเวลานั้น, ไมเคิล แจ็กสัน แต่งงานกับ ลิซา มารี ลูกสาวคนเดียวของราชาร็อกแอนด์โรลชื่อดัง เอลวิส เพรสลีย์ แต่การแต่งงานของพวกเขา
ก็มาสิ้นสุดลงด้วยการหย่าร้างในปี 1996 ก่อนที่เขาจะมาแต่งงานใหม่กับ เด็บบี โรว์ ในปีเดียวกันและมีลูกด้วยกัน 2 คน ก่อนที่จะแยกทางกัน
ในปี 1999 ซึ่งแม้จะแต่งงานและมีลูกด้วยกันแต่ตามรายงานข่าวระบุว่าทั้งคู่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเลย
แจ็กสันมีลูกทั้งหมด 3 คน คือ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน, ปาริส ไมเคิล แคเธอรีน แจ็กสัน และปรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน ที่สอง
โดยลูกคนหลังสุดนี้ปรากฏตัวครั้งแรกอย่างน่าตื่นเต้นเมื่อครั้งที่ไมเคิล พ่อของเขาอุ้มเขามาโชว์บริเวณระเบียงของโรงแรม
จนเกือบหลุดมือซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ถึงการกระทำสุดระห่ำครั้งนี้ของเขาไปทั่วโลก
ซึ่งนับจากนั้นหนูน้อยยังได้ชื่อเล่นว่า “แบลงเคต” (Blanket) มาเป็นของแถมด้วย

หลังจากต้องเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ มากมายในชีวิตจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว
ไมเคิล แจ็กสัน และ AEG LIVE ผู้สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตของเขาก็ได้จับมือกันประกาศทัวร์การแสดงรอบโลก
โดยวางแผนไว้ว่าจะแสดงเป็นจำนวนกว่า 50 รอบ ก่อนที่ไมเคิลจะออกมาปฏิเสธ
และขอลดลงเหลือเพียง 10 รอบการแสดงเท่านั้นด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญแต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากผู้จัด
และยืนยันในที่สุดว่าจะยังคงจัดเป็นจำนวน 50 รอบเหมือนเดิม โดยคอนเสิร์ตแรกของเขากับการหวนคืนวงการอีกครั้ง
จะจัดขึ้นที่ โอทู อารีนา ในกรุงลอนดอน โดยจะเริ่มคอนเสิร์ต วันที่ 13 ก.ค.2009 ที่จะถึงนี้แล้ว

ไมเคิลฝึกซ้อมที่ลอสแองเจลิสเพื่อเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในอังกฤษ ที่บัตรคอนเสิร์ตนั้นขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
หลังเปิดขายเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่เจ้าตัวจะลาโลกนี้ไปโดยไม่มีโอกาสขึ้นแสดงคอนเสิร์ตที่นับเป็นความหวังสูงสุดของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

การจากไปอย่างกะทันหันของไมเคิล แจ็กสัน ศิลปินดังระดับตำนานในครั้งนี้นับเป็นข่าวคราวที่ช็อกแฟนเพลงทั่วโลก
ที่เหล่าคนดังฮอลลีวูดเองต่างก็ออกมาร่วมไว้อาลัยหลังทราบข่าวการจากไป ของเขาทันที 

แอชตัน คุชเชอร์ นักแสดงมาดกวนได้โพสต์ข้อความลงใน Twitter ว่า “สู่สุคติ เราขอส่งความรัก ให้กับครอบครัวและเพื่อนๆของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกๆ ทั้งสามคน” เดมี มัวร์ ภรรยาของแอชตันก็ได้ออกมากล่าวถึงการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้ว่า “ฉันเสียใจอย่าง
สุดซึ้งจริงๆ กับการสูญเสียทั้งฟาร์ราห์ ฟอว์เซตต์ และไมเคิล แจ็กสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกๆ ของพวกเขา!”
จอห์น เมเยอร์ นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดัง ก็ได้แสดงความเสียใจต่อการจากไปครั้งนี้ของศิลปินระดับตำนานผ่านทาง Twitter เช่นกัน
“เรางงกันทั้งสตูดิโอ คนสำคัญหลักของวงการต้นตำนานทางดนตรีของพวกเราจากไปแล้ว สู่สุคติไมเคิล แจ็กสัน เราต่างเศร้าโศกต่อการ
จากไปครั้งนี้ของเขาเหมือนกับการสูญเสียความเป็นเด็กในตัวเราเมื่อได้ฟังเพลง Thriller ในเครื่องเสียง

ทางด้าน ควินซีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ชื่อดัง ก็ได้ออกมากล่าวเช่นกัน “ผมเสียใจอย่างมากกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มันเป็นข่าวที่คาดไม่ถึงจริงๆ”

“แจ็กสันมีทั้งพรสวรรค์ ความงดงาม ความเป็นมืออาชีพ และความทุ่มเท วันนี้ผมสูญเสียน้องชายที่รักที่สุดคนหนึ่งไป และส่วนหนึ่ง
ของจิตวิญญาณผมได้สูญเสียไปพร้อมกับเขาแล้วเช่นกัน”

แรปเปอร์ระดับตำนานอย่าง พี ดิดดี ก็ออกมากล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ว่า “ไมเคิล แจ็กสัน แสดงให้ผมเห็นว่าคุณสามารถทำเพลงขึ้นมาได้
เขาทำเพลงให้มันเหมือนมีชีวิตขึ้นมาได้ เขาทำให้ผมเชื่อในเวทมนตร์ ผมจะคิดถึงเขาตลอดไป!!”

ทางด้าน WYCLEF JEAN หนึ่งในสมาชิกของ FUGEES ได้ไว้อาลัยผ่านทาง Twitter ว่า “เขาอยู่ในใจผมมาโดยตลอด ผมไม่มีทางลืมวันที่
เขามาหาผมที่สตูดิโอและผมเล่นเพลงของเขาให้ฟังอย่างแน่นอน...สู่สุคติไมเคิล แจ็กสัน เทพเจ้าทางดนตรีของผม...เราเคยสูญเสียเอลวิส
เพรสลีย์ มาแล้ว และคราวนี้เรามาเสียไมเคิล แจ็กสัน ไปอีก...วันนี้ผมร้องไห้เพราะว่าไมเคิล แจ็กสันเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งที่เราได้สูญเสีย
เขาไปตลอดกาล"”

ส่วนกูรูทางด้านการประชาสัมพันธ์อย่าง แม็กซ์ คลิฟฟอร์ด ที่เป็นผู้ค้นพบแจ็กสันในช่วงยุค 1960 ก็ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ที่ไมเคิล
อยากพบเจด กูดดี้ สามอาทิตย์ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งว่าเขาต้องการจะพบเธอ

“มันเป็นเรื่องที่ช็อกมากๆ คุณคงสงสัยว่าความเครียดจากการเตรียมพร้อมคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนี้มีส่วนมากทีเดียว ภาพก่อนหน้านี้ไม่นาน
ไมเคิลดูสุขภาพดีมาก เมื่อครั้งที่เขาโทรมาเขากล่าวแค่ว่าเขาอยากมาพบเจด กูดดี้ แต่โชคร้ายที่เธอป่วยมากแต่พวกเขาก็คุยกันเล็กน้อยผ่านทางโทรศัพท์”

“และคำสุดท้ายที่เขาพูดกับเธอ คือ เขาอยากเจอเธอและอยากให้เธอได้มาชมคอนเสิร์ตของเขา แต่น่าเศร้าที่เธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่จนถึง
วันที่เขาแสดงได้ และน่าเศร้ายิ่งกว่าที่ตัวเจ้าของคอนเสิร์ตเองก็อยู่กับเราไม่นานเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”

คอนเสิร์ตในประเทศไทย...

มีคนไทยไม่น้อยที่เป็นแฟนเพลงของไมเคิล แจ็กสัน และมีไม่น้อยเช่นกันที่รู้จักไมเคิล
ผ่านเพลงทับหลัง ของคาราบาว ในปี พ.ศ. 2531 ที่มีเนื้อร้องในท่อนแยกว่า "เอาไมเคิล แจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา"
ซึ่งเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมจากกระแสเรียกร้องทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ จากสถาบันศิลปะชิคาโก สหรัฐอเมริกา

ไมเคิล เคยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ปีพ.ศ. 2536 เป็นการโปรโมต
ปิดอัลบั้ม Dangerous กำหนดการแสดง 2 รอบ ในวันที่ 21 สิงหาคม และ 22 สิงหาคม ที่สนาม-
ศุภชลาศัย ซึ่งก่อนการแสดงได้มีการโปรโมตทางช่อง 3 เป็นรายการพิเศษเกี่ยวกับไมเคิล แจ็กสัน 

คอนเสิร์ตในครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากชาวไทย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง
ถึงความเหมาะสมของการจัดแสดง เพราะบางส่วนเห็นท่าเต้น ลูบเป้าของไมเคิลไม่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมไทย ซึ่งปรากฏการณ์คอนเสิร์ตในครั้งนี้
นับเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ของนักร้องชาวต่างประเทศระดับโลกครั้งแรกของไทย และต่อมาก็ได้มีศิลปิน นักร้องต่างประเทศทยอยเดินทาง
มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเรื่อย ๆ ตราบจนปัจจุบัน 

ครั้งที่ 2 คือ ในกลางปี พ.ศ. 2538 เป็นการโปรโมตอัลบัม History จัดแสดงที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
แสดง 2 รอบอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าครั้งแรก

02.26 น. ตามเวลาที่ลอสแองเจลิส (วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน) ชื่อของราชาเพลงป็อปได้เป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง
เมื่อตามข่าวจากสื่อออกมาบอกว่า ไมเคิล แจ๊กสัน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการที่ผู้คนมากมายต่างสงสัย

และหลังจากนั้น ก็มีข่าวทยอยออกมาเรื่อยๆ ถึงการจากไปของ ไมเคิล แจ็กสัน ได้ทิ้งลมหายใจ และปิดตำนานแห่งท่วงท่า “มูนวอล์ก”
ทั้งหมดที่เป็นไมเคิล... ราชาเพลงป็อปผู้นี้ กลายเป็นเพียงความทรงจำของเหล่าบรรดาแฟนคลับที่มีอย่างล้นหลามทั่วโลก

แม้วันนี้ไมเคิลจะลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่สิ่งที่ยังคงยู่เสมอ ก็คือความเป็น "King of Pop" อย่างไม่มีใครแทนที่
เพลงของเขาที่เราชอบ ท่าทางเวลาที่เขาอยู่บนเวที เสียงร้องที่อบอุ่น และความสนุกสนานที่เขามอบให้เรา จะยังคงอยู่ในใจเราเสมอ.

หลับให้สบายไมเคิล.

Goodby, Michael! R.I.P

เขียน/เรียบเรียงโดย ทีมงาน Acousticthai.Net
.....พบกับ Finger Trick สอนเล่นเพลง Billie Jean ในแบบ Cover / Finger Style
คลิก... http://www.acousticthai.net/billie_jean.html