Maury Muehleisen เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม 1949 ที่เมือง Trenton ณ รัฐ New Jersey โดยเป็นบุตรคนที่ 2 จากจำนวน 8 คน ของ Maurice และ Margaret Muehleisen Maury เรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ และสามารถเล่นบทเพลง Classic ได้อย่างดีเยี่ยม Maury ได้มีโอกาสทำผลงานอัลบัม ซึ่งอำนวยการผลิตโดย Terry Cashman and Tommy West - Album LP กับ Capitol Records โดยใช้ชื่อ อัลบั้มว่า "Gingerbread" ซึ่งมีผลงานเพลงของเขารวม 11 เพลง เขาเริ่มเล่น Acoustic Guitar ตั้งแต่อายุ 17 โดยการฝึกฝนด้วยตนเอง พออายุ ได้ 20 ปีเท่านั้น Maury ได้เซ็นสัญญาออกผลงานของเขาที่ทำกับ Jim Croce ในช่วงระยะเวลาอันสั้น Gingerbread- 1970 Capitol Records: Song title : A Song I Heard Mister Bainbridge Wintry Morning Free to Love You That's What I Like Elena Rocky Mountains (Love Is) Just a Passing Thing One Last Chance Eddie I Have No Time ผลงานของเขาทั้งสองได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำสามอัลบัมและ 2 Singles Gold และการยกย่องจากนักฟังเพลงทั่วโลก ตั้งแต่เขาจากโลกนี้ไป แต่ถึงอย่างไร ครอบครัว เพื่อนๆ และแฟนเพลงของ Maury ได้จดจำชายหนุ่ม ผู้ซึ่งมีความภูมิใจเสมอในตัวเอง และบ้านเกิด ชายหนุ่มผู้ซึ่งต้องการแต่เพียงถ่ายทอดเสียงเพลงให้แก่ผู้อื่นโดยขอเพียงรอยยิ้มกลับมา เพื่อเป็นกำลังใจ
ถึงแม้ Album ของตนเองและการทำ Promotion ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก แต่เขาก็โชคดีที่ได้มีโอกาสแสดงความสามารถ ของตนเองให้โลกได้ประจักษ์ได้ โดยผ่านการที่เป็นเพื่อนสนิทของ Jim Croce ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็น Lead Acoustic Guitar แน่นอนว่า Jim Croce ย่อมเป็นบุคคลแรกที่จะกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าเขาโชคดีมากที่ได้ Maury มาเป็นส่วนร่วมในความสำเร็จ และ ด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวกันอย่างยิ่งนี้เองที่ทำให้เกิด Album ABC ของ Jim Croce 3 Album ขึ้นมาคือ You Don’t Mess Around With Jim, Life and Time, และ I Got a Name ในปี 1972 และ 1973 ชีวิตอันสั้นของ Maury ต้องพบจุดจบ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 1973 ด้วยวัยเพียง 24 ปี ด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน พร้อมกับเพื่อนรัก Jim Croce, ผู้จัดการส่วนตัวของ Jim, Dennis Rast, ผู้ประสานงานส่วนตัว Ken Cortese, นักแสดงตลก George Stevens , และนักบิน Robert Newton Elliott. "บางถ้อยคำจากครอบครัว Muehleisen" -Maurice J., Maury's Father- Maury อายุประมาณ 6 ขวบ ตอน Elvis อยู่ในยุคที่เฟื่องฟู และเด็กๆ ทุกคนทุกวัย ต่างก็ใฝ่ฝันที่จะเล่นกีต้าร์ และส่ายสะโพกเป็นเหมือนราชาเพลง Rock & Roll Maury มาขอให้เราซื้อกีต้าร์ให้ และอยากเรียนกีต้าร์มาก ที่บ้านตอนนั้นมี Grand piano ของคุณแม่ของ Margaret (คุณยาย) และพวกเรามัก จะรายล้อม piano ตัวนั้นเพื่อร้องเพลงต่างๆ ในขณะที่พี่สาวของ Magaret คือ Mary เป็นคนเล่น พวกเราพยายามอธิบายให้ Maury ฟังว่า เราคงไม่มีเงินพอที่จะหาซื้อกีต้าร์ดีๆ ให้หรอก และเราก็มีเครื่องดนตรี (คือ piano) อยู่ในบ้านแล้ว คงสามารถหาครูมาสอนให้ได้ แต่ Maury ดูท่าทางไม่สนใจเปียโนเลย ถ้าไม่ได้เรียนกีต้าร์ ก็จะไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แล้วเขาก็กลับออกไปเล่นจนทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ไป ในที่สุด ผมตัดสินใจว่าไม่ควรทิ้งเปียโนที่มีอยู่แล้ว ไว้เฉยๆๆ ผมเองเคยใฝ่ฝันที่จัดเล่นเปียโน แต่ไม่มีสตางค์พอที่จะจ้างครู ผมจึงไปซื้อตำราการเรียนการสอนเปียโนด้วยตนเอง และฝึกฝนเองอย่างขะมักเขม้น ผมเรียนไปได้ถึงครึ่งเล่ม จนกระทั่งวันหนึ่ง Maury เดินเข้ามาในบ้านและฟังผมเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาถามผมว่า ผมเล่นเปียโนได้อย่างไร และผมก็เล่นให้เขาดู
Maury ทำให้ผมแปลกใจด้วยการขอลองเล่นเปียโนดู และผมก็รู้ทันทีเลยว่า พรของผมที่ขอจากพระเจ้าได้ถูกประทานมาแล้ว ผมสอน Maury ให้เริ่มต้นจากหน้าแรก และต้องเล่นให้คล่องก่อนที่จะไปหน้าต่อไป เมื่อเล่นมาถึงครึ่งเล่ม Maury ก็ขอครูมาฝึกให้จะได้เรียนอย่างจริงจังเสียที เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 9 ขวบจนกระทั่ง หลังจากที่เขาซื้อ Acoustic Guitar ตัวแรก คือประมาณอายุ 17 ขวบ -Margaret, Maury's Mother- Maury เป็นเด็กที่คลอดค่อนข้างยาก ฉันต้องวิ่งเก้อไปโรงพยาบาลตั้ง 2 ครั้งกว่า Maury คลอดออกมาในเช้าตรู่ของวันที่ 14 มกราคม 1949 คุณหมอเดินมารายงานฉันว่า ลูกเกิดมาโดยมีเยื้อบางๆ หุ้มอยู่ที่ศรีษะ ซึ่งหมายความว่าเด็กคนนี้ต้องมีพรสวรรค์อย่างแน่นอน แต่กว่าที่พวกเรา จะสังเกตเห็นก็ใช้เวลาหลายปีอยู่พอสมควรเริ่มจากการที่ Maury เป็นเด็กที่เลี่ยงค่อนข้างยาก และร้องไห้ตลอดเวลา ฉันต้องใช้ทุกวิธีเพื่อกล่อมเขาให้ได้ เช่น การเดิน การนั่งม้าโยก และร้องเพลงกล่อมเพื่อให้หลับ Maurice กับฉันได้ปฎิบัติทั้ง 3 อย่าง แต่ความที่ Maurice ต้องทำงานประจำ ฉันจึงเป็นคนที่ทำหน้าที่นี้เสียส่วนมาก ฉันร้องเพลงสารพัดให้ Maury ฟัง ไม่ว่าเพลงเก่า/ใหม่ เพลงในโบสท์ เพลงประกอบหนัง หรืออะไรก็ได้ที่นิยมอยู่ในขณะนั้น ถ้าฉันไม่ได้ร้องเพลง ฉันก็จะอ่านบทกลอนต่างๆ หรือแม้กระทั้งวางเขาไว้บนเปล ฉันก็จะเปิดวิทยุให้ฟัง มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราไม่สบายใจอย่างยิ่ง คือการที่ Maury ไม่ยอมพูดเมื่อถึงวัยอันควร ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างไร ก็ไม่ได้ผล แต่ถึงแม้ว่า Maury ไม่ยอมพูดจา เขาจะร้องเพลงกล่อมตัวเองให้หลับได้ และการที่ฉันได้กล่อมเขาโดยการร้องเพลงและอ่านกลอนต่างๆ ก็ได้ผลคุ้มค่า เพราะตอนที่ Maury เริ่มพูด เมื่อออายุประมาณ 3 ขวบ เขาพูดได้เหมือนผู้ใหญ่เลย ทำให้พวกเราประหลาดใจ ถึงเวลาในตอนนั้น Maury สามารถท่องบทกลอนต่างๆ ที่ฉันเคยอ่านให้เขาฟัง โดยอาศัยความจำ Maury เป็นเด็กที่แสนจะน่ารัก พี่สาวฉัน Anne มักจะพาเพื่อนๆ จากที่ทำงานมาเยี่ยม Maury ช่วงเที่ยง เพื่อให้เขาท่องหนังสือให้ฟัง บัดนี้ Maury ได้ผ่านพ้นช่วงการร้องไห้ฟูมฟาย แม้กระทั้งคูณหมอเองยังไม่สามารถหาสาเหตุ ของการร้องไห้แบบต่อเนื่องของ Maury ได้ แต่อย่างน้อยสันนิฐานว่าปอดคงดีแน่นอน และตั้งแต่ Maury ได้เริ่มพูดและเริ่มร้องเพลง เขาไม่เคยหยุดเลย พวกเราคงได้ยินเสียงของเขาอยู่ในใจพวกเราเสมอ -Mary, Maury's sister- ในระหว่างที่กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของ Maury นั้น ฉันพยายาม ที่จะมุ่งเน้นประเด็นไปที่คำถามที่หลายๆ คนข้องใจคือ... "Maury กับ Jim Croce พบกันได้อย่างไร??" รู้สึกที่งในความสามารถการแต่งเพลงและการขับร้องของ Maury อย่างยิ่ง จึงเสนอให้เขา ทำ demo tape ขึ้นมาและส่งไปหา Tommy west ซึ่งเป็น Producer อยู่ที่ New York และเป็นเพื่อนของ Joe Joe มั่นใจว่า Tommy และเพื่อนอีกคนที่ชื่อ Terry cashman สามารถตัดสินใจได้ว่า Maury จะสามารถไปรอดได้หรือไม่ Maury ได้รู้จักกับ Joe Salviuolo ซึ่งเป็นผู้ช่วย ศ.ทางด้านนิเทศศาสตร์ ที่ วิทยาลัย Glassboro State รัฐ New jersey, Maury เป็นนักศึกษาอยู่ ในขณะนั้น Maury และ Joe ได้ร่วมแสดง concert ที่มีชื่อว่า folk music and related forms ด้วยกัน ในวันที่ 20 กพ. 1969 ที่หอประชุม Tohill ในบริเวณวิทยาลัย
Joe รู้สึกที่งในความสามารถการแต่งเพลง และการขับร้องของ Maury อย่างยิ่ง จึงเสนอให้เขาทำ Demo tape ขึ้นมา และส่งไปหา Tommy West ซึ่งเป็น Producer อยู่ที่ New york และเป็นเพื่อนของ Joe, Joe มั่นใจว่า Tommy West และเพื่อนอีกคนที่ชื่อ Terry Cashman สามารถตัดสินใจได้ว่า Maury จะสามารถไปรอดได้หรือไม่ Maury ได้เริ่มการอัดเสียงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น และส่งชุดที่สมบูรณ์ไปที่ New york ในช่วงฤดูร้อน พวกเขาตั้งความหวังไว้สูง และได้รับการตอบรับที่ดี ภายในวันที่ 5 กันยายน ของปี 1969, Maury ได้เซ็นสัญญา แ ต่งเพลงกับ Blendingwell music และสัญญาอัดเสียงกับ Interrobang Productions โดยมี Joe salviuolo เป็นผู้จัดการส่วนตัว พวกเขาได้เริ่มลงมืออัดเสียงกันทันที ในช่วงเดือนต่อๆ มา Maury ต้องเที่ยวไปมาระหว่าง New york และการแสดงสดต่างๆ ใกล้ๆ บ้าน พอปลายฤดูร้อนของปี 1970, Maury ได้แต่งเพลงมากพอที่จะทำ Album ของตัวเอง Joe จึงได้นัด Cashman and West ที่สำนักงานของเขา และ ณ ที่แห่งนี้ที่ Maury ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนอีกคนของพวกเขา และเป็นลูกศิษย์สถาบัน Villanova เช่นเดียวกันคือ "Jim Croce" Jim และภรรยาเขาชื่อ Ingrid เพิ่งย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านที่ Pennsylvania หลังจากความผิดหวังในการออก Album ของเขาที่ New york ในปี 1969 (Jim & Ingrid Album) ความเป็นเพื่อนระหว่าง Maury กับ Jim เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยลักษณะนิสัยที่อ่อนโยนของทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้อย่างดี Tommy, Terry รวมถึง Joe มีความเห็นตรงกันว่า Jim Croce น่าจะได้รับการปลอบใจจากเพื่อนๆ หลังจากที่ต้องผิดหวังกับ Album ตัวเอง จึงเสนอใน Jim เล่น back-up ให้กับ Muary ในช่วงที่ promote album ชุด "Gingerbread" Jim ประทับใจกับผลงานของ Maury และได้เริ่มซ้อมเพื่อออกแสดงร่วมกันในอนาคต นิตยสาร Billboard ได้ลงประกาศการออก Album "Gingerbread" ของศิลปินหน้าใหม่ชื่อ Maury โดยบริษัท Capital Records ในเดือนพฤศจิกายน 1970 Maury ได้ออกแสดงเดี่ยว และในบางโอกาสก็ได้ Jim มาร่วมเล่นดนตรีด้วย ในไม่ช้า Maury ได้กลายเป็น แขกประจำของบ้าน Jim กับ Ingrid ที่ Lyndell พวกเขาทั้งสองใช้เวลาหลายๆ คืน ในการสนทนา ร้องเพลง แต่งเพลงของ Jim และฝันถึงอนาคตของเขาทั้งสอง
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1971, Jim Croce ได้ส่งตัวอย่างเพลงใหม่ของเขาไปให้เพื่อนเขา (Tommy West) อาทิตย์ต่อมา Maury และ Jim เดินทางไป New York เพื่ออัดเพลงต่างๆ ที่เขาหวังว่าจะได้กลายเป็น Album ของ Jim ในที่สุด Album "You don’t mess around with Jim" LP ได้ออกจำหน่ายในเดือนเมษายน 1972 ในระหว่างที่ได้ออก Tour กับ Kenny Loggins และ Jim Messina ในช่วงเดือนสิงหาคม 1973, Maury กับ Kenny ได้มีโอกาสแต่งเพลงร่วมกัน Maury รู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์ครั้งนั้นมาก ตอนมาเล่าให้ครอบครัวเราฟังในวันที่ 16 กันยายน 1973 โดยที่ตอนนั้นเขาเรียกชื่อเพลงนั้นว่า kenny’s dream ซึ่งตอนหลัง Kenny ได้ดัดแปลงชื่อเป็น Fever dream และได้อัดออก มาในปี 1974 โดย Columbia records ภายใต้ชื่อ Album Mother Lode ของ Loggins & Messina Kenny ได้ให้ความอนุเคราะห์แก่พวกเราใน การเล่าประสบการณ์ในครั้งนั้น Kenny Loggin : Maury เป็นคนที่วิเศษ และเป็นนัก Guitar ที่มีพรสวรรค์อย่างมาก ผมดีใจที่พวกคุณได้บันทึกเรื่องราวของ Maury เก็บไว้ ในช่วงเวลานั้น พวกเราพึ่งได้มีโอกาสรู้จักกัน และความทรงจำที่ประทับใจผมมากที่สุดเห็นจะเป็นช่วงที่ผมกับ Maury ได้ร่วมกันแต่งเพลง Fever dream ด้วยกัน ในช่วงที่พวกเราพอมีเวลาว่างในระหว่างนำผ้าไปซักตามเครื่องหยอดเหรียญของโรงแรมที่เราพักนั้น ผมได้เล่นเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ให้ Maury ฟัง ซึ่งเราได้แต่งเพลงนี้ร่วมกันตอนเอาผ้าเข้า-ออกระหว่างเครื่องซักกับเครื่องอบเสียเป็นหลัก คิดๆ ไปแล้ว ผมว่ามันก็น่าประหลาดใจที่ทำไมผมกับ Muary ได้แต่งเพลงเกี่ยวกับคนๆ หนึ่งที่คาดถึงความตายของตัวเอง ก่อนที่ Maury ได้ พบกับจุดจบของตัวเองเช่นกันหลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ผมประทับใจในตัว Muary จริงๆ เขาเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน และดีกับทุกๆ คน ผมไม่ทราบว่าคุณรู้จัก Jim หรือไม่ แต่เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้น Jim จะเป็นคนที่พูดเสียส่วนใหญ่, Jim เป็นคนที่ค่อนข้างเป็นจุดเด่นแม้เวลาอยู่ในที่สาธารณะ เช่น ร้านกาแฟตามสนามบิน เห็นชัดเจนว่าพวกเขาสนิทกันมาก และ Jim เองก็ภูมิในผลงานที่พวกเขาทำร่วมกัน
ครอบครัว Muehleisens เป็นครอบครัวที่ ยืนหยัดและอดทนจริงๆ พวกเขาได้ยอมรับการสูญเสียของ Maury โดยยังยึดมั่นกับสิ่งที่พระเจ้า ได้ประทานให้แก่พวกเขา ความมีศักดิ์ศรีของครอบครัว Muehleisens ในช่วงเวลาอันเลวร้ายของชีวิตพวกเขาในปี 1973 ทำให้พวกเราเข้าใจความหมายของครอบครัว นั้นได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว คงจะไม่มีคำศัพท์ใดๆ เพียงพอที่ผมจะสามารถใช้บรรยายความรู้สึกของผมที่มีต่อ Maury ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับ Maury นั้น มาจากพื้นฐานที่เรามีร่วมกัน นั้นคือเสียงเพลง และเราต่างก็เคารพความสามารถทางด้านดนตรีของซึ่งกันและกัน ผมกับ Terry Cashman มักจะทึ่งในความสามารถของการเป็นทั้งนักดนตรี นักแต่งเพลง และนักร้องในเวลาเดียวกันของ Maury คำว่าอัจฉริยะ ในสมัยนี้ค่อนข้างจะใช้กัน บ่อยจนความหมายที่แท้จริงของมันมีน้ำหนักน้อยลง แต่ในสายตาของผม Maury คืออัจฉริยะที่แท้จริง เขามีส่วนสำคัญในความสำเร็จของ Jim Croce พอๆ กับผู้อำนวยการเพลง Engineer ผู้จัดการ หรือแม้กระทั้งสังกัดค่ายเพลง เขาเป็นส่วนสำคัญของเสียง และไม่มีนักดนตรีคนไหนๆ เลยที่จะเล่น Lead acoustic guitar ในบทเพลงต่างๆ ของ Jim Croce ได้ดีเท่ากับ Maury ตอนที่ผมเดินทางไป Nashville ในปี 1977 พวกนักดนตรีทั้งหลายต่างอยากรู้ว่าใครน่ะ ที่เป็นคนเล่น Picking ให้กับ Jim Croce, Maury ได้ประพันธ์และเล่นท่อนเพลงหลายๆ อันที่เป็นเอกลักษณ์ในดนตรี pop ยุคปัจจุบัน ความทรงจำที่ดีที่สุดของผมเกี่ยวกับ Maury เป็นช่วงที่เรากำลังอัดท่อนประสานเสียง backup ของเพลง "Thursday" ในชุด "I Got a Name" ในฤดูร้อนของ 1973 ปกติพวกเรามักจะเล่นกันเข้าขาอยู่แล้ว และในวันนั้นเหมือนมีมนต์สะกดทำให้เราอัดเสียงกันได้อย่างรวดเร็ว และไร้ที่ติ และใช้แค่เพียง 2 take เท่านั้น ที่ใช้สำหรับการอัด take หนึ่ง เพื่อลงเสียงดนตรีพื้นฐาน (basic background) และ take สอง เพื่อลงเสียงดนตรีที่พวกเราเล่นให้เด่นขึ้นมา ถ้าใครตั้งใจฟังให้ดีอาจจะได้ยินเสียงแห่งรอยยิ้มของเราสองคนในขณะที่เล่น backup ให้ Jim. "Maury และ Jim จะยังคงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป" เขียน/เรียบเรียง โดย ทีมงานอะคูติกไทย (www.Acousticthai.Net)