Bracing หรือโครงสร้างภายในตัวกีต้าร์ นับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกีต้าร์โปร่ง
ทั้งกีต้าร์สายเหล็ก(steel-string) และกีต้าร์สายไนล่อน(nylon-string/classic guitar)
คุณภาพของโทนเสียงจะโดดเด่น มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน “Bracing” ถือว่าสำคัญมากไม่น้อยไปกว่าไม้ที่ใช้ประกอบทำกีต้าร์เลยทีเดียว
“Bracing” จึงเป็นอีกหนึ่ง “ทักษะ” และยังเป็นอีกหนึ่ง “ความลับ” ของช่างทำกีต้าร์ที่ใช่ว่าจะเลียนแบบกันง่ายๆ
โดยเฉพาะกีต้าร์ Classic ระดับไฮเอ็น ในแง่ของโครงสร้าง(Bracing)นั้น ถือเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายให้กับอนาคตของกีต้าร์ ได้เลย
นอกจาก “Bracing” จะหน้าที่สำหรับค้ำหรือหนุนไม้หน้า เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงแล้วนั้น
ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือ “เป็นตัวกำหนดทิศทาง/ลักษณะของเสียง” ที่สะท้อนออกมา
ก่อนหน้านี้เราเคยได้กล่าวถึง Bracing หรือโครงสร้างภายในตัวกีต้าร์ประเภทสายเหล็ก กันไปแล้ว
(Bracing สำหรับกีต้าร์สายเหล็ก อ่านย้อนหลังได้ที่ http://acousticthai.net/guitar-bracing.html)
ครั้งนีั…จะมาเล่าถึงชนิดของ “โครงสร้างภายในของตัวกีต้าร์คลาสสิค (classic guitar)”
อดีตถึงปัจจุบัน… “Bracing” ที่โดดเด่นเป็นที่นิยมใช้ และ เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ที่เป็นต้นแบบในการทำกีตาร์คลาสสิค นั้น
แบ่งโครงสร้าง(bracing)กีต้าร์ ได้เป็น “3 ลักษณะ 3 ยุค” ได้ดังนี้
(1) Traditional Fan Bracing
โครงสร้างกีต้าร์คลาสสิค ที่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของกีต้าร์ในรูปทรงตั้งแต่อดีตถึงปัจจบัน ที่เห็นกันทั่วไป
ที่ตัวกีต้าร์มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับกีต้าร์ยุคก่อนหน้านี้, และ FingerBord ใหญ่ขึ้น จากกีต้าร์แบบเดิมในยุคสมัยของ F.Sor ,Guiliani
โครงสร้างนี้ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ในยุคเริ่มคิดค้นจนมาถึงในยุคปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่า
จะยังคงมีช่างทำกีต้าร์ดำเนินแนวทางการสร้างกีต้าร์แบบนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของกีต้าร์ ที่ช่างทำกีต้าร์สมัยใหม่ทุกคนต้องเรียนรู้ก็ว่าได้
บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นบิดาแห่งการคิดค้นพัฒนาโครงสร้าง(Traditional Fan Bracing)กีต้าร์ในลักษณะนี้
จนเป็นที่ยอมรับนั้น คือ “Antonio de Torres” ณ เมือง Almeria ประเทศ Spain
ถ้าจะพูดถึงบุคคลเด่นๆ ที่ใช้กีต้าร์ Torres นั้น คงจะหนีไม่พ้น “Fransico Tarrega” นักประพันธ์เพลงชื่อดังของกีต้าร์คลาสสิคนั้นเอง
ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษ์ของกีต้าร์ ที่มีเสียงนุ่มนวลไพเราะ มีความสมดุลย์(Balance)ของเสียง ระหว่างย่านเสียงต่ำ(Bass)
และย่านเสียงสูง(Treble) ที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ และมีหางเสียง(Sustain)ที่ยาว มีเสียงค่อนข้างที่จะเที่ยงตรง
แต่ข้อด้อยของกีต้าร์แบบนี้ก็มีเช่นกัน นั่นคือ ”ขาดความดัง” จนเป็นที่มาของการพัฒนากีต้าร์สมัยใหม่ที่จะกล่าวต่อไป
ปัจจุบัน ณ ปี 2016 ราคาตลาดที่ซื้อขายกีต้าร์ Torres อยู่ที่ประมาณ 200,000US$ ขึ้นไปโดยประมาณ
ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ และปีของตัวกีต้าร์ ดังนั้น บางตัวอาจมีราคาสูงถึง 300,000US$
ซึ่งทำให้ Torres เป็นกีตาร์คลาสสิคที่แพงที่สุด และเป็นที่ใฝ่ฝันของนักสะสมกีต้าร์คลาสสิค (classic guitar) ทั่วโลกก็ว่าได้
(2) Lattice Bracing
โครงสร้างกีต้าร์สมัยใหม่ หรือ Modern Styles ที่คิดค้น หรือ พัฒนาขึ้นมาเพื่อต้องการให้กีต้าร์คลาสสิค (classic guitar)
นั้นมีเสียงที่ดังขึ้น โดยไม่ได้ยึดถือโครงสร้างกีต้าร์ในแบบเดิมของ Antonio de Torres
บุคคลแรกที่คิดค้นกีต้าร์แบบ Lattice Bracing คือ “Greg Smallman” ณ เมือง Perth ประเทศ Australia
กีต้าร์ในแบบฉบับนี้ เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีมือกีต้าร์ชื่อเสียงระดับโลก อย่าง “John Williams” เป็นคนแรกทีเริ่่มใช้นั้นเอง
จึงทำให้กีต้าร์แบบ Lattice Bracing ถือเกิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
โดยตัว Lattice กีต้าร์นั้น จะมีโครงสร้างตัวกีต้าร์ใหญ่กว่า โดยเฉพาะส่วนหลังของกีต้าร์นั้น จะมีความโค้งนูนออกมา
และน้ำหนักของกีต้าร์ก็จะหนักกว่าหลายเท่า เมื่อเทียบกับกีต้าร์แบบ Fan Bracing
อีกหนึ่งในเอกลักษ์เฉพาะของกีต้าร์แบบ Lattice คือ ไม้ข้างและหลัง(back & side) จะมีความหนาและแข็งแรงมากเป็นพิเศษ
ซี่งมีครั้งหนึ่ง ตัว Greg Smallman เอง ได้โชว์ทดสอบความแข็งแรงของไม้หลังกีตาร์ของเขา
ด้วยการที่ตัวเขาเองนั้น ขึ้นไปยืนเหยียบบนแผ่นไม้หลังของกีต้าร์ โดยที่แผ่นหลังของกีต้าร์เองนั้นไม่มีการแตกแต่อย่างไร!
ส่วนของไม้หน้า(top) ของกีต้าร์นั้นจะมีความบางมากๆ เหตุผลก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการสั่นสะท้อนของเสียงที่ดีขึ้นนั้นเอง
ลักษณะเสียงที่โดเด่นของกีต้าร์แบบ Lattice นั้นคือ จะมีเสียงที่ดังมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกีต้าร์ลักษณะ Fan Bracing
รวมถึงความลึกและแข็งแรงของย่านเสียงทุ้มต่ำ(Bass) เป็นตัวนำ และย่านเสียงสูง(Treble) ที่มีความรุนแรงชัดเจน
ตอบสนองการเล่นได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักกีต้าร์สมัยใหม่ ที่อยากได้กีต้าร์แนวเสียงดัง Bass ลึกๆ
และกีต้าร์ลักษณะนี้ เหมาะกับการแสดงในห้องแสดงใหญ่ๆ
แต่ก็มีบางกลุุ่มที่มีความเห็นต่าง และไม่ชอบกีต้าร์ ลักษณะในแบบนี้เลยโดยสิ้นเชิง
สาเหตเพราะ กีต้าร์แบบนี้ไม่ได้คงเสียงความเป็นเอกลักษ์ของ Traditional Guitar(แบบยุคดั้งเดิม)ไว้เลยแม้แต่น้อย
จนทำให้บางคนถึงกับบอกว่ากีตาร์แบบนี้เปรียบเสมือนเครื่องดนตรีอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ใช่กีต้าร์!
ซึ่งส่วนตัวของผู้เขียนมีความเห็นว่า เป็นเรื่องรสนิยม หรือ ความชอบของแต่ละท่าน ซึ่งย่อมจะมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
ปัจจุบัน ณ ปี 2016 ราคาตลาดที่มีการซื้อขายกีต้าร์ Smallman กีต้าร์นั้นไม่สูงมาก และหาซื้อได้ทั่วไป
โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 29,000US$ เมื่อเปรียบเทียบกับประมาณช่วงก่อนปี 2000
ราคาของกีต้าร์ Smallman นั้นถือว่าค่อนข้างสูงมาก เพราะเนื่องจาก Smallman ได้ทำกีต้าร์คนเดียวเท่านั้น
จึงทำให้ความต้องการในตลาดนั้นมีสูง คนที่สั่งกีต้าร์ต้องรอ 5-10 ปี ถึงจะได้กีตาร์
แต่ปัจจุบัน Smallman ได้ทำกีต้าร์ร่วมกับลูกชายเขาอีก 2 คน (Damon & Kym) จึงทำให้สามารถผลิตกีต้าร์ได้ปีละหลายๆ ตัว
ในปัจจุบันทุกคนสามารถสั่งกีต้าร์ Smallman ได้ โดยเพียงแค่ส่งอีเมล์ไปหาเขา และส่วนมากจะใช้เวลารอแค่ 1-2 ปี
ก็สามารถรับกีต้าร์ได้แล้ว ด้วยเหตนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าปัจจุบันกีต้าร์ของ Smallman จึงมีมูลค่าลดลงอย่างมาก
จากการสืบค้นข้อมูลของผู้เขียน จากนักสะสมกีต้าร์คลาสสิค ระดับ High-end หลายท่านนั้น ได้ทราบว่าคนไทยคนแรกที่ได้สั่งกีต้าร์ Smallman
และซื้อกีต้าร์ โดยตรงจากบ้านของ Greg Smallman คือ “เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” โดยเขาเคยมีกีต้าร์ Smallman สองตัว เป็นกีต้าร์ในปี 2010 และ 2013
ในปัจจุบันกีต้าร์ Smallman ของเค้า ได้ขายต่อสู่นักสะสมในเมืองไทยและฝรั่งเศษ ไปทั้งสองตัว
[หมายเหต] “เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” แชมป์โลกกีต้าร์คลาสสิก ปี 2014
ชนะในรายการ GFA หรือ Guitar Foundation of America International Concert Artist Competition
ถือเป็นเวทีการแข่งขันกีต้าร์ระดับนานาชาติที่ใหญ่ และยากที่สุดในโลก นับว่าเป็นคนเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่คว้าชัยในเวทียิ่งใหญ่
(3) Double Top/Composite Top Styles
เป็นโครงสร้างกีต้าร์ที่พยายามผสมผสาน หาความลงตัวระหว่าง “กีต้าร์ที่ให้โทนเสียงที่นุ่มนวล” มีเอกลักษณ์ในสไตล์ Traditional Sound
ตามแบบฉบับของ Antonio de Torres และ “กีต้าร์ที่มีโทนเสียงที่หนา มีความใสกังวาน และให้พลังเสียงที่ดัง” อันเป็นเอกลักษ์ของกีต้าร์สมัยใหม่
จนกลายมาเป็นที่มา…ของกีต้าร์คลาสสิคที่เรียกว่า “Double Top” หรือบ้างก็เรียกว่า “Composite Top ,Sandwich Top” นั่นเอง
เอกลักษ์เฉพาะตัว อันโดดเด่นของเสียงกีต้าร์แนว Double Top นั้นคือ สามารถให้เนื้อเสียงที่ “หนา/ใหญ่ โน๊ตกลมกังวาน นุ่มนวล และให้พลังเสียงที่ดังกังวาน”
สามารถตอบสนองการเล่นได้ดีในทุกๆ สไตล์การเล่น โทนเสียงออกไปทาง Traditional แต่ให้ความดังมากกว่าหลายเท่าตัว
อันเป็นเอกลักษณ์อันน่าทึ่งของตัวกีต้าร์ แนว Double Top
จึงไม่แปลกใจที่กีต้าร์ Double Top จะเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มผู้เล่นกีต้าร์ทั่วไป และกลุ่มผู้เล่นกีต้าร์บนเวทีคอนเสิร์ต(ใช้งานบนเวทีขนาดใหญ่)
ซึ่งต้องการกีต้าร์ที่ให้เสียงที่ดังกังวาน แต่ยังแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงอันนุ่มนวลไพเราะตามแบบฉบับของกีต้าร์ในยุคดั้งเดิมไว้, และยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมกีต้าร์(collector)อีกด้วย
บุคคลแรกของโลก ที่คิดค้นโครงสร้างนี้คือ “Matthias Dammann” ณ เมือง Passau ประเทศ Germany
Matthias Dammann เริ่มต้นสายอาชีพด้วยการเป็นนักกีต้าร์คลาสสิคมาก่อน
เขาจบการศึกษาด้านการแสดงกีต้าร์คลาสสิคจากประเทศเยอรมัน
ด้วยเหตุผลที่เขาคิด…ที่อยากจะมีกีต้าร์ในแบบที่เขาต้องการ ซึ่งประกอบไปด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น คือ…
“กีต้าร์ที่ให้เสียงดังกังวาน แต่ยังแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงอันนุ่มนวลไพเราะตามแบบฉบับของกีต้าร์ในยุคดั้งเดิมไว้”
จึงเป็นจุดเริ่มในการทำกีต้าร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความสามารถการเล่นกีต้าร์ที่เก่งของ Dammann เองนั้น ได้ส่งผลให้เขามีความสามารถในการวิเคราะห์
ฟังและหาเสียงกีต้าร์ที่ดีได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้การทำกีต้าร์ของเขาพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากความสามารถในการทำกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมของเค้า บวกกับทักษะการบรรเลงกีต้าร์อันเยี่ยมของเค้า
เขายังได้ผลิตคิดค้นเครื่องมือไฟฟ้าเพื่อช่วยทดสอบการสั่นสะเทือนของไม้หน้าของกีต้าร์เขาอีกด้วย…
เทคนิคคือ…ในเวลา Dammann ดีดสายกีต้าร์นั้น ตัวเครื่องนี้ซึ่งจะมีหลอดไฟเชื่อมอยู่กับไม้หน้า จะโชว์แสงออกมาตาม
การสั่นของไม้ ซึ่งจะทำให้เขารู้ว่าจุดไหนเของไม้ที่มีการสั่นสะเทือนมากหรือจุดไหนเป็นจุดที่เขาจะต้องพัฒนาแก้ไขต่อไป
กีต้าร์ double top ของ Dammann เป็นที่ยอมรับกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆตลอดมา ทั้งจากนักเล่นกีต้าร์ และศิลปินมากมายให้การยอมรับในฝีมือการสร้างกีต้าร์ของเขา
ศิลปินระดับโลกคนแรกๆ ที่เลือกใช้กีต้าร์ Dammann คือ “Manuel Barrueco” และไม่กี่ปีหลังจากนั้น มือกีต้าร์ระดับแถวหน้าของโลกอีกหลายๆคนก็เลือกใช้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น “David Russell” ก็เลือกที่จะใช้กีต้าร์ของเขาเพื่อใช้บันทึกผลงานลงในอัลบั้ม รวมไปถึงการเลือกใช้ กีต้าร์ Dammann บนเวทีคอนเสิร์ต
และกีต้าร์ Dammann ยังเป็นหนึ่งในกีต้าร์ในฝันของนักสะสมกีต้าร์ทั่วโลก ที่เสาะแสวงหามาครอบครอง
Matthias Dammann ถือเป็นแบบอย่าง แรงบันดาลใจในการสร้างกีต้าร์แบบ “Double Top” ให้กับช่างทำกีต้าร์ทั่วโลกอีกด้วย
เช่น Gernot Wagner, Michel Bruck คือตัวอย่างในหมู่บรรดาช่างทำกีต้าร์แนวหน้าของโลก ที่มีไอเดียการทำกีต้าร์แนว Double Top ตามแบบของ Dammann
จากความสำเร็จข้างต้น…ในปัจจุบันกีต้าร์ของ Dammann เป็นหนึ่งในกีต้าร์สมัยใหม่ที่หายาก และ ราคาแพงที่สุดในโลก!! อีกด้วย
โดยราคาตลาด ณ ปี 2016 จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 100,000US$ ขึ้นอยู่กับสภาพ และ ความสมบูรณ์ของกีต้าร์
ถ้ากีต้าร์ปีเก่าๆ สภาพผ่านการเล่นมาเยอะๆ ราคาก็จะต่่ำลงตามสภาพและความสมบูรณ์ แต่ถ้าสภาพใหม่ราคาก็สูงเช่นกัน โดยกีต้าร์ส่วนใหญ่ที่นิยมเลือกใช้
สเปคไม้หน้า(top) คือไม้ Cedar แต่ส่วนตัว Dammann เองนั้น ก็ยังทำไม้หน้า Spruce ด้วย
จากความนิยมที่มีผู้คนจำนวนมาก สนใจอยากเป็นเจ้าของกีต้าร์ของเขา ส่งผลให้คนที่สั่งกีต้าร์นั้นต้องรอกีต้าร์ Dammann
ประมาณ 15-20 ปีถึงจะได้กีต้าร์ เพราะด้วย Dammann นั้น ทำกีต้าร์เพียงคนเดียวเท่านั้น(ไม่ผู้ช่วย) ซึ่งเขาสามารถทำกีต้าร์เพียง
ปีละไม่เกิน 5 ตัว บางปีทำออกมาแค่ 3-4 ตัว เท่านั้น
และเป็นที่รู้กันว่า คนที่จะสั่ง กีต้าร์ Dammann นั้น…อาจจะต้องไปเล่นกีต้าร์ให้เขาฟังก่อน!!
เขาถึงจะยอมให้สั่งกีตาร์ เพราะนิสัยส่วนตัวเขาเองเป็นคนแปลกๆอยู่บ้าง และเค้ายังต้องการทำกีต้าร์ให้สำหรับคนที่เล่นกีต้าร์อย่างจริงจังเท่านั้น
และ นักกีต้าร์คนหนึ่งจะสามารถสั่งกีต้าร์กับเขาได้เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น ไม่สามารถสั่งได้อีก!
ด้วยเหตุนี้เองส่งผลให้ Dammann เป็นกีต้าร์ที่มีความต้องการในตลาดสูงมากๆ และเป็นหนึ่งในกีต้าร์คลาสสิค ที่ใช่ว่าจะสามารถหาซื้อได้ง่าย
โดยคนที่จะรอซื้ออาจจะต้องคอยอาศัยช่วงเวลา(และโชค) ณ ตอนนั้น ว่าจะมีใครนำออกมาขายต่อทางตลาดมือสองหรือไม่
สำหรับนักสะสมกีต้าร์คลาสสิคในเมืองไทย เท่าที่ผู้เขียนสืบค้นมา ได้ทราบว่า มีนักกีต้าร์คนไทยที่ครอบครอง
กีต้าร์ Dammann อยู่หนึ่งท่าน คือ “เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” (ผู้เขียนทราบจากครั้งเมื่อมีโอกาสได้ทำเทปสัมภาษณ์เมื่อตอนที่เค้าได้รับแชมป์โลกใหม่ๆ)
ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสสอบถามรายละอียด (และยังได้ลองเล่น/ฟังเสียงกีต้าร์ Dammann) จึงทราบว่า หนึ่งเดือนหลังจากที่เค้าได้แชมป์โลกในการแข่งขัน GFA ที่อเมริกา
ทาง Dammann จึงได้ให้สิทธิพิเศษกับเขาในการทำกีต้าร์ Dammann ให้กับเค้า
จากการบอกเล่า… ก่อนหน้านี้ “เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” เคยได้ติดต่อสั่งกีต้าร์ Dammann แต่เป็นช่วงก่อนได้แชมป์รายการ GFA จึงทำให้เค้าต้องรอคิวยาวเกิน 10 ปี!!
แน่นอนว่าการได้แชมป์ GFA ของ “เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” นั้น เป็นหนึ่งในเหตูผลที่ทำให้ Matthias Dammann ตัดสินใจทำกีต้าร์ให้เขาโดยไม่ต้องรอนาน.
สัมภาษณ์ “David Russell” พร้อมได้ฟังเสียงกีต้าร์ “Dammann”
“เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล” กับ “Dammann Guitar” ของเค้า
ผู้เขียนหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จาก บทความเรื่อง Bracing นี้ไม่มากก็น้อย บทความหน้าเกียวกับกีต้าร์ Classic จะเป็นเรื่องใดนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป…