เราค้นพบตัวเองว่า เราเป็นนักฝัน พอเชื้อที่มันเติมฝันหมด มันก็หมด! ..."เบิร์ด กะ ฮาร์ท" 

ถ้าเอ่ยถึงศิลปินคู่ "เบิร์ด กะ ฮาร์ท" หรือถามว่าเคยฟังเพลงเขาทั้งคู่บ้างไหม? ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักชื่อนี้
ไม่ว่าจะผู้ที่เพิ่งผ่านวัย 30 ปี และโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นวัย 40 ปี ผมมั่นใจว่าหลายๆ ท่านจะชื่นชอบผลงานทางด้านดนตรี ของเขาทั้งคู่ 

หรือแม้แต่วัยรุ่นที่อายุยังไม่ผ่าน 30 ปีก็เถอะ ก็อาจจะเป็นแฟนเพลง "เบิร์ด กะ ฮาร์ท" ก็เป็นไปได้ ด้วยฝีไม้ลายมือในการเขียนเพลง
ที่ถูกใจผู้ฟัง และซาวด์ที่ไม่เคยเอ้าท์

บทเพลงในแบบ "เบิร์ด กะ ฮาร์ท" เรียกได้ว่า เขาทั้งสองได้สร้างปรากฎการณ์ที่สดใหม่ ให้เกิดขึ้นในวงการเพลง ความเป็นนักเรียนนอก
หน้าใสในสมัยนั้น เป็นความโด่ดเด่น ที่อยู่ในความสนใจของใครๆ หลายๆ คน ทั้งทำนองและเนื้อร้องที่ออกมาได้อย่างกินใจ ด้วยภาษา
ที่สวยงาม บนความเรียบง่ายของภาคดนตรี และสำเนียงการร้องของเด็กนอก มันทำให้เขาทั้งคู่ดูโด่ดเด่น และน่าสนใจไม่แพ้ใครๆ

บทเพลงเช่น "ฝน" "ลืม" "รอรัก" "Goodbye Song" และ "Susan Joan" จากวันนั้นสู่วันนี้ ก็ยังคงเป็นเพลงสุดคลาสิค ที่ให้ไว้ประดับวงการเพลงไทย
แม้วันนี้จะหยิบมาเปิดฟังอีกครั้ง บทเพลงในแบบ "เบิร์ด กะ ฮาร์ท" วิธีการร้อง เนื้อหา และทั้งท่วงทำนองเพลง ก็ยังไม่เคยเอ้าท์แต่อย่างใด 

เป็นเรื่องยากพอสมควรที่เดียว ที่จะมีจังหวะได้พบกับพี่เบิร์ดและพี่ฮาร์ทในเวลาพร้อมๆ กัน วันนี้มีเป็นโชคดีของอะคูสติคไทย ที่ได้มีโอกาส
เข้ามาพูดคุยกับพี่เบิร์ด และพี่ฮาร์ทพร้อมๆ กันทั้งสองคน วันนี้อะคูสติคไทยได้เข้ามาพูดคุยกับพี่เบิร์ดและพี่ฮาร์ทในห้องแต่งตัว
ณ Impact เมืองทองธานี ก่อนที่พี่เบิร์ดกับพี่ฮาร์ทจะขึ้นเล่นคอนเสิร์ต เรามาคุยกับพี่ทั้งสองคนกันครับ

Acousticthai: สวัสดีครับพี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท
พี่เบิร์ด กะ พี่ฮาร์ท: สวัสดีครับ 

Acousticthai: ก่อนจะมาเป็นเบิร์ดกะฮาร์ท
พี่ฮาร์ท: ปี 2526 เริ่มต้นพบกันที่อเมริกาในแอลเอ เราเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกัน โดยการแนะนำของเพื่อนรุ่นพี่ที่อเมริกา
คุณสืบศักดิ์ คลังมนตรี สมัยนั้นตอนที่เขาเรียนมัธยม มีวงดนตรีของตัวเองชื่อ The Mammy เขาว่ากันว่า... ยุคนั้นวงนี้เทียบเท่ากับ
The impossible ตอนนั้นผมเรียนอยู่แอลเอ พี่สืบศักดิ์ก็ทำงานอยู่ที่แอลเอ ก็เลยทำให้พี่กับพี่เบิร์ดมารู้จักกัน

Acousticthai: ตอนนั้นพี่ทั้งสองคนได้เล่นดนตรีหรือยัง หมายถึงแบบจริงๆ จังๆ
พี่ฮาร์ท: ไม่เลยครับ เราสองคนแค่ชอบเล่นดนตรี เล่นกันสนุกๆ เล่นเพราะใจรัก เราชอบก็เล่น แต่ไม่ได้จริงจังหรือแบบมืออาชีพ
เรียกว่าเล่นแบบขำๆ ก็คงไม่ผิดนะ

Acousticthai: จุดเริ่มต้นของความสนใจ ที่จะทำดนตรี หรือเล่นดนตรีแบบจริงๆจังๆล่ะครับ
พี่เบิร์ด: ตอนนั้นพี่รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำงานกับพี่ฉ่าย ขำเลิศกุล แล้วพี่คนเนี่ยทำงานอยู่ไนซ์สปอร์ต
พี่คนเนี่ยเขาก็รู้ว่าเราทั้งสองเล่นดนตรีได้ ชอบเล่นดนตรี แต่งเพลงได้ด้วย ก็เอ่ยขึ้นมาว่า ไม่ลองทำเทป demo ส่งไปล่ะ ลองดูเล่นๆ
เพื่อว่าอาจจะดัง อาจจะได้ออกเทปนะ

Acousticthai: พี่ทำอย่างไรกันต่อ
พี่ฮาร์ท: หลังจากนั้นก็จุดประกายความคิด พี่กับเบิร์ดก็เข้าไปสวัสดีพี่ฉ่าย แนะนำตัวเอง แล้วก็ให้พี่ฉ่ายช่วยให้คำปรึกษา ทำ demo ให้
เราก็ทำออกมาสามเพลงคือ "ลืม" "อาลัยเธอ" และ "Susan John" ซึ่งเป็นเพลงที่เราเคยเขียนไว้

พอช่วงกลางปี 2528 พี่กับพี่เบิร์ดก็บินกลับมาเมืองไทย เป็นช่วงปิดเทอม พี่กับเบิร์ดก็เข้าไปพบผู้บริหารที่บริษัท ไนซ์สปอร์ต ได้เข้าไปพบกับ
คุณชัยยงค์ ก็ถือ demo สามเพลงที่เตรียมมาอย่างดี เอาให้คุณชัยยงค์ฟัง แกฟังแล้วไม่ปิ๊ง เขาก็วิจารณ์ว่า เพลงมันเฉยๆ นะ 

Acousticthai: เป็นความผิดหวังครั้งแรกหรือครับ
พี่ฮาร์ท: ก็ไม่นะ มันมีอะไรมากกว่านั้น แล้วตอนนั้นเนี่ยยังไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาปฎิเสธ อาจจะเพราะว่าเรายังเด็ก เขาก็บอกว่าเพลงมันเฉยๆ
ไม่น่าสนใจ แต่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไหนๆ ก็ทำมาแล้ว ไหนเราก็รู้จักกันแล้ว เดี๋ยวพี่จะส่งไปให้ลูกน้องพี่เปิดในรายการวิทยุดูล่ะกัน
เพราะบริษัทมีรายการวิทยุอยู่หลายคลื่น แต่ก็ทิ้งท้ายอีกว่า ไม่ต้องหวังอะไรมาก 

ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเขาปฏิเสธ แต่พอเราโตขึ้น มานึกย้อนหลายๆคำพดถึงเข้าใจว่า ออ... นั่นล่ะเขาปฏิเสธ
แต่ก็โชคดี เทปม้วนนั้นก็ถูกส่งไปมือดีเจ ก็คือชื่อคุณวินิจ เลิศรัตนชัย ตอนนั้นแกเพิ่งเป็นดีเจได้ไม่นาน พี่คิดว่าตอนนั้นพี่วินิจยังไม่ดังมากนะ
แค่ว่ารู้จักกันในวงแคบๆ สำหรับผู้ฟังรายการวิทยุ

Acousticthai: พี่เบิร์ด และพี่ฮาร์ท มีหลักการเขียนเพลงแบบไหน เนื้อเพลงหรือเมโลดี้มาก่อน
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกันนะ ยกตัวอย่างเพลง "ลืม" เพลงนี้ตอนพี่แต่งเมโลดี้จะมาก่อน แต่ไม่ได้มามากนะ มาแค่นิดเดียว 
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เติมเนื้อเพลงในท่อนแรกๆ แล้วก็ค่อยๆ มาพร้อมกันจนจบทั้งเพลง แต่ในเพลง "ฝน" แตกต่างกว่าเพลงอื่นๆ เลยนะ 
เบิร์ดเขาแต่งมาเป็นทำนองเลยนะ แล้วพี่ก็มาแต่งต่อจากเขาในท่อนแยก แต่งกันจนจบทั้งเพลง แต่มีเพียงเมโลดี้ ยังหาเนื้อไม่เจอะ 
พี่ก็เอาไปให้เพื่อนลองใส่ดู ชื่อพี่แดง เขาก็ใส่เนื้อให้ อืม... มันก็ลงตัวดีนะ ดังนั้น พี่จะไม่มี concert ชัดเจนว่าจะเอาอะไรมาก่อน 
คือมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนนั้น

Acousticthai: มีอิทธิพลหรือต้นแบบจากการแต่งเพลง หรือทำเพลงบ้างไหม ครับ
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: เพลงแต่ละเพลงของเรา แทบจะไม่ได้รับหรือมีอิทธิพลจากไหนเลย ไม่ได้มีต้นแบบ เราอยากทำในแบบที่เรา
อยากทำในแบบของเรา สมัยก่อนเวลาแต่งเพลงมันออกมาเลย สมองมันสั่งได้ไว

Acousticthai: เป็นอย่างไรบ้าง หลังจากได้เปิดผ่านรายการวิทยุ?
พี่ฮาร์ท: ปรากฏว่าพอเอาไปเปิดในรายการวิทยุ แล้วมันมีคนชอบเยอะ คนฟังชอบเยอะ โทรมาขอให้เปิดบ่อยๆ แล้วก็ถามถึงคนแต่งเพลง 
นักร้องคนนี้เป็นใคร...พี่วินิจก็เลยกลับมาหาคุณชัยยงค์ เพื่อสอบถามว่าเป็นใคร ขอข้อมูลหน่อย เพราะกระแสตอบรับใช้ได้ดี เขาก็โทรมาที่บ้าน 
พี่ก็เลยบอกข้อมูลเขาไปว่าเราเป็นใคร พี่บอกชื่อเพื่อนไปก่อน คือเบิร์ด แล้วก็ฮาร์ท คุณวินิจก็เลยไปบอกออกอากาศว่า เพลงของ 
"เบิร์ดกับฮาร์ท" ก็เลยเป็นที่มาของ "เบิร์ดกะฮาร์ท"

Acousticthai: ทำไมกระแสถึงดีครับ
พี่ฮาร์ท: พี่ว่าตอนนั้นคำว่านักเรียนนอกมันฟังดูมั่ง มันดูน่าสนใจ พอดีเจประกาศว่า เป็นผลงานเพลงของนักเรียนนอกสองคน "เบิร์ดกะฮาร์ท" 
ชื่อออกฝรั่งๆ ภาพของเรามันออกมาแบบนั้นกระแสก็เลยดี 
พี่เบิร์ด: คือถ้าบอกว่าเป็นนักเรียนจบโรงเรียนวัด...ก็อาจจะกระแสไม่ดี (หัวเราะ)

หรืออาจจะไม่ได้รับความสนใจมาก ไม่ใช่ว่าจบโรงเรียนวัดมันไม่ดี แต่คำว่านักเรียนนอก 
ในสมัยนั้นมันน่าสนใจ พอบอกว่าเป็นนักเรียนนอก มันเลยเป็นที่สนใจเป็นพิเศษ 
ฟังแล้วอาจจะดูดี ดูเท่มั้ง...ในสมัยนั้นนะ แต่ตอนนี้ฟังแล้วคงจะรู้สึกเฉยๆ

Acousticthai: จากนั้นล่ะครับ
พี่ฮาร์ท: จากนั้นก็ได้ออกเทป ได้ออก concert เป็นแขกรับเชิญ กระแสดีขึ้น
คนฟังเพลงรู้จักเรามากขึ้น ทางบริษัทไนซ์สปอร์ต ก็เลยจับเช็นสัญญา นั่นคือ "เบิร์ดกะฮาร์ท"

Acousticthai: สิ่งรอบตัวเราล่ะ ได้นำสิ่งเหล่านี้มาเขียนบ้างไหมครับ
พี่ฮาร์ท: เพลงที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งรอบข้าง เรื่องราวที่นำมาเป็นเพลงเท่าที่จำได้ก็เช่นเพลง "อาลัยเธอ"
คือเบิร์ดกับเพื่อนเบิร์ดอีกคนนึ่ง คือเขาอยู่ในเหตุการณ์ พี่ชายเบิร์ดเขาแต่งงาน แล้วมีเหตุให้ต้องเลิกกัน ภรรยาเขาก็จากไป
จากบรรยากาศ จากห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน มันก็ว่างเปล่า เบิร์ดก็เลยได้แรงบันดาลใจจากภาพเหตุการณ์นั้น แล้วก็นำมาเขียนเพลง
เช่นท่อนที่เขียนว่า "มองดูห้องว่าง รักร้างจากไป ใครไหนจะมาเข้าใจ สุดเจ็บสุดปวดสุดอาลัย" แล้วก็เพลง "Susan Joan"
ก็เป็นช่วงที่ผมทะเลาะกับแฟน ชื่อซูซานเนี่ยล่ะ

Acousticthai: ตอนนั้นยังเรียนอยู่ พี่มีเวลาคิด หรือเขียนเพลงก็หรอครับ
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ในช่วงรอยต่อจากมัธยมจะเข้ามหาวิทยาลัย เราจะมีเวลาว่างเยอะมากๆ คือถ้าครึ่งปีแรกเรารู้ว่า เราจะได้ไปเรียนที่ไหน
มหาวิทยาลัยไหนรับเราเข้าเรียน ครึ่งปีหลังคุณไม่ต้องทำอะไรเลย จะมีเวลาว่างมากๆ พี่ทั้งคู่ก็เลยมีเวลามาก เราได้นั่งทำเพลง นั่งเขียนเพลงกัน

Acousticthai: คิดอย่างไรที่บางคนอาจจะนิยามเพลง "เบิร์ดกะฮาร์ท" ให้เป็นบอสซ่า หรือบอสซาโนว่าครับ
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ไม่นะผมไม่คิดว่าเพลงของ "เบิร์ดกะฮาร์ท" เป็นบอสซ่า หรือบอสซาโนว่า
เราไม่เคยตั้งใจแบนั้น อาจจะแค่เพลงเดียวที่ตั้งใจ คือเพลง "ห่างไกล" อันนั้นล่ะใช่ เราตั้งใจทำแบบบอสซาโนว่า

Acousticthai: คิดว่าอยากจะทำอัลบั้มใหม่ออกมาไหม
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ถามว่าอยากไหม เราไม่อยากนะ ตอนนี้ความอยาก ความต้องการ การมุ่งที่จะทำอัลบั้มไม่มี
แต่ถามว่า anti ไม่? เปล่านะไม่ได้ต่อต้าน แต่ไม่มีความอยากเท่านั้นเอง 

Acousticthai: แล้วอยากทำ Concert เปล่า ช่วงนี้หลายๆวงหันมาทำ REUNION กันเยอะ
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ถามว่าปีหน้าครบรอบ25 ปี เบิร์ดกะฮาร์ทอยากทำอะไร? ทำ concert ไหม? เราก็เฉยๆ นะ เราไม่มุ่งทางนี้
ตอนนี้ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ชีวิตตอนนี้ไปเรื่อยๆ เพลงไม่ได้อยู่ในความสำคัญลำดับต้นๆ อีกต่อไป
ถ้าจะมีผลงานเพลงในวันข้างหน้าก็แล้วแต่จังหวะ 

Acousticthai: ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: คือพี่มองย้อนกลับไปนะ ตั้งแต่เป็นเพียงคนที่ชอบร้องเล่นดนตรี มาถึงช่วงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
มาทำบริษัทร่องเสียงลำใย ทำธุระกิจเพลง แล้วก็เลิกไป วันนี้เราค้นพบตัวเองว่า เราเป็นนักฝัน พอเชื้อที่เติมฝันมันหมด มันก็หมด

Acousticthai: แต่ทุกๆ วันนี้ เบิร์ดกะฮาร์ทก็ยังมีงานแสดงอยู่เป็นระยะๆ
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ใช่ ทุกๆ วันนี้ยังมีกิจกรรมเกี่ยวกับเพลง ยังได้ร้องเล่นเพลง "เบิร์ดกะฮาร์ท" ก็อาจจะเรียกว่า เรากินบุญเก่า
ทุกวันนี้ที่ยังร้องเพลง ได้เล่นดนตรีให้คนฟัง อาจจะเรียกว่าเป็นการระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ของหลายๆคน มันอาจจะเป็นเครดิตเก่าๆ
ของเพลงที่เราสร้างไว้ เพลงที่เราเคยทำมันคงจะดี ถูกใจผู้ฟัง ผู้คนก็เลยยังคิดถึงเราอยู่ แต่ตอนนั้นความรู้สึกที่อยากจะมามุ่งทำ
ไม่มี มันเฉยๆ นะ คือกลางๆ นิ่งๆ

Acousticthai: พี่เคยเรียนดนตรีกันมาไหมครับ
พี่ฮาร์ท: พี่เรียนดนตรีตั้งแต่ตอนเด็กๆ ในแง่พื้นฐาน มีพื้นฐานแน่นอยู่แล้ว เรียนเปียโนมา เล่นเปียโนได้ อ่านโน็ตสบาย กีต้าร์ได้
ดังนั้นเวลาจะแกะเพลง copy เนี่ย ทำได้ เบิร์ดก็อึ่งกับสิ่งนี้ แต่เบิร์ดเนี่ยไม่ได้เรียน ไม่มีพื้นฐานแน่นเท่าเรา แต่เรากลับอึ่งเขามากกว่า
เพราะเขาไม่มีพื้นฐาน copy ไม่เก่ง แต่ทำเองเก่ง เขาเขียนเพลงได้ดี เขียนเพลงเก่ง ทั้งที่ไมมีพื้นฐานด้านดนตรีมาก่อน
พอผมมาเจอะเขาในแบบนี้ เขาทำได้อย่างไร เขาเก่งนะ สิ่งนี้ก็เลยเป็นแรงพลักดันทำให้ผมเริ่มต้นเขียนเพลง ผมเริ่มต้นเขียนเพลง
ตอนมาเจอะเบิร์ด ก่อนหน้านั้นมัวแต่ copy คนอื่น คือชอบแกะเพลงเก่าๆ เล่น

Acousticthai: คิดว่าเพลงที่ดังที่สุดของ "เบิร์ดกะฮาร์ท" คือเพลงอะไร
พี่ฮาร์ท: ถ้าพูดถึงเพลงที่ดังเป็นอมตะ แบบที่ต้องเล่น แบบว่าผู้คนชอบกัน ร้องตามกัน ถ้าผมนะ ผมคิดว่าเพลง "ลืม" แล้วก็เพลง "รอรัก"

Acousticthai: เพลง "เพื่อนกัน" ผมเห็นหลายคนเอามาเล่นกันบ่อยๆ
พี่ฮาร์ท: เพลง "เพื่อนกัน" ผมไม่คิดว่าดัง ผมเฉยๆ อันนี้ในมุมมองผมนะ ส่วนเพลงที่เบิร์ดแต่ง ก็น่าจะเป็นเพลง "ฝน" เพลงนี้ดังมากๆ

Acousticthai: เอกลักษณ์ของ "เบิร์ดกะฮาร์ท"
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: เอกลักษณ์ของเรา "เราเริ่มต้นจากเพื่อน" เอกลักษณ์ของเราคือ ภาพของความเป็นเพื่อน เป็น "เบิร์ดกะฮาร์ท"

Acousticthai: วงการเพลงตอนนั้น หรือรูปแบบของเพลง ในตอนนั้นกับตอนนี้ แตกต่างกันมากไหม
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ตอนเราเข้ามาในยุคนั้นมันดิบ คือทุกๆ อย่างที่คุณเห็นนะ ถ้าเพี้ยนก็คือเพี้ยนจริงๆ มันสดๆจากเราจริงๆ
การที่จะเอาคอมพิวเตอร์มาตัดแต่งนะ เรียกว่าน้อยมาก เครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยี่มันไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้
และยุคนั้นการตลาดเพลงยังไม่เข้มข้นเหมือนสมัยนี้ เพลงยุคนั้นเป็นเพลงที่ง่ายๆไม่ค่อยซับซ้อน มันเป็นเสน่ห์ของมัน
เป็นเสน่ห์สำหรับยุคนั้น เช่น วงเพื่อน แกรนเอ็กซ์ มันทำให้เรานึกถึงไม่เฉพาะแค่เพลง แต่เพลงมันทำให้เราคิดถึง
ซึ่งสังคมตอนนั้นมันมีแต่ความซื่อ มันใส ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์ในช่วงนั้น

เพลงไพเราะกับเพลงที่ทำให้เรานึกถึงมันต่างกันนะ เช่น เพลงฉันวันนี้ ของธานินท์ อิทรเทพ ...ทุกวันฉันมีแต่ตัวหัวใจ... (อืมเพลง)
ตอนนั้นผมฟังแล้วรู้สึกเฉยๆๆๆ แต่พอวันนี้ได้ยินนะ ทำให้คิดถึงวันเก่าๆ มันกินใจ คือบางทีเพลงมันไม่ได้เพราะ
แต่ฟังแล้วมันทำให้เรารู้สึกคิดถึงวันเก่าๆ ฟังแล้วรู้สึกดีกับเพลง คิดถึงวันคืนเก่าๆ บางทีเพลงที่เราเคยฟังตอนนั้น 

ตอนเราเด็กๆ หรือหนุ่มๆ พอมาฟังตอนนี้แตกต่างกันนะ ยกตัวออย่างเช่น พี่แอ๊ด คาราบาวนะ ผมว่าเนื้อเพลงแต่ละเพลงเขาดีมาก
ไม่เหมือนตอนเราวัยรุ่นเวลาฟังผ่านๆ ผมเฉยๆนะ เดี๋ยวนี้เวลาผมฟังเพลงของพี่แอ๊ดนะ ผมกลับชอบ ชอบการเขียนเพลงของเขา
ผมไม่ได้ฟังว่าแนวเพลงนั้นคือแนวเพลงอะไร แต่ฟังว่าเนื้อหา หรือเนื้อเพลงคืออะไร ผมว่าพี่แอ๊ดเป็นอีกคนที่เขียนเพลงได้เยี่ยมมาก
ผมว่าเขาเป็นอัจฉยะจริงๆ นะ

Acousticthai: ถ้าวันนี้สามารถกลับไปแก้ไขเพลงอะไรสักเพลงหนึ่ง ในผลงานของ "เบิร์ดกะฮาร์ท" พี่อยากทำไหม
พี่ฮาร์ท: ถ้าวันนี้สามารถกลับไปแก้ไขหรอ ถ้าถามคำถามนี้นะ... พี่เองเคยคิดนะ แต่นานมาแล้ว เคยอยากย้อนเวลาไปสัก 10 หรือ 20 ปี
กลับไปแก้ไข คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าทำแบบนั้นก็คงไม่เสร็จ (หัวเราะ) แต่ปัจจุบันนะ พี่คิดใหม่ คืออยากกลับไปแก้มันเลย
ให้มันเป็นแบบนั้นอ่ะดีแล้ว เป็นแบบที่มันเป็นอ่ะดีแล้ว 

Acousticthai: พี่ชอบฟังเพลงสากลไหม ยุคไหน
พี่เบิร์ด พี่ฮาร์ท: ชอบเพลงฝรั่งเก่าๆ เยอะนะ แต่ถ้าชอบที่สุคก็ยุค 70's กลางๆ ถึงปลายๆ นะ อาจจะเพราะว่าตอนั้นพี่ไปโตที่อเมริกา
อย่าง Billy Joe ชอบ, the Beatles, Simon & Garfunkel ผมชอบ, Elvis ผมเฉยๆ และผมไม่ชอบเพลง Rock หนักๆ