สินเจริญ บราเธอร์ส... กับบรรยากาศ รสชาติกับความสำเร็จ บทเพลงที่ขึ้นอยู่บนหน้าปัดวิทยุ ความล้มเหลว การกลับมาเล่นดนตรีบนถนน
บนรถไฟฟ้า แม้แต่บนเครื่องบิน! ในทุกๆ ที่ ที่เค้าต้องการถ่ายถอดบทเพลง "สินเจริญ บราเธอร์ส" เค้ากล้าที่จะทำ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ด้วยความมุม่งมั่นของพวกเค้า สามพี่น้อง "สินเจริญ" และวันนี้... เค้ากลับมาเป็นที่สนใจของวงการดนตรี วงการสื่อต่างๆ อีกครั้ง 

บอย – ธนัญชัย, เบิ้ล – ธีรยุทธ , และบอม – สุทธิศักดิ์
กว่าจะก้าวเดินมาถึงจุดนี้ สองข้างทางที่พวกเค้าพี่น้องได้ก้าวเดิน เค้าผ่านอะไรมามบ้าง?

Acousticthai: สินเจริญเริ่มต้นเล่นดนตรีมานานยังครับ
บอย: เริ่มต้นตั้งแต่ตอนสัก 7 ขวบ เพื่อนข้างบนเล่นกีต้าร์ พี่บอมก็เกิดความสนใจ พอพี่บอมสนใจ ก็ทำให้น้องๆ สนใจตามไปด้วย

Acousticthai: แสดงว่าที่บ้านไม่ได้เล่นดนตรี หรือเป็นนักดนตรีมาก่อน
บอย: ครอบครัวเราก่อนหน้านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้เล่นดนตรี วันนึ่งคุณพ่อไปงานราชการที่แม่สาย ก็เห็นว่าพี่บอมชอบ ก็เลยซื้อกีต้าร์พม่า
มาฝาก ตัวไม่กี่ร้อยบาทในสมัยนั้น แต่นี่ก็คือการเริ่มต้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต่อต้าน ไม่ห้าม ซึ่งสมัยนั้นบางครอบครัวจะห้าม

Acousticthai: ได้เรียนดนตรีกันบ้างไหมครับ ฝึกเล่นดนตรีกันอย่างไร
บอม: ตอนนั้นผมก็เริ่มฝึกด้วยตัวเอง ไม่ได้เรียน เพราะผมไม่ชอบการเรียน แต่ชอบที่จะชวนเพื่อนๆ คนนั้นคนนี้มาเล่นกีต้าร์ที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่
จะเล่นกันสามพี่น้อง เราเหมือนเป็นเพื่อนกัน เราก็เล่นกันอยู่สามคนพี่น้อง

Acousticthai: สามคนพี่น้อง ใครเป็นคนที่ทำให้เกิดดนตรีในบ้านสินเจริญ
บอม: ตอนเด็กๆ คุณพ่อจะสอนให้ผมเป็นผู้นำของน้องๆ ผมก็นำมาแบบนี้ล่ะครับ ก็คือ ดนตรี
บอย: คือพี่บอมเนีย จะทำอะไรก็ต้องเล่นกับน้องๆ พอเล่นดนตรีก็ชวนน้องๆ ตอนแรกพอพี่บอมเล่นกีต้าร์ได้ เค้าก็พยายามสอนพี่เบิ้ล
แต่ด้วยความคิดของพี่เบิ้มบอกว่า กีต้าร์สายมันเยอะ เลยหันมาหัดเล่นกีต้าร์เบสแทน ไปๆ มาๆ พวกเราทุกๆ คนก็สนุก ก็เล่นกันด้วยความสนุก
เล่นไปเล่นมาก็เริ่มมีกิจกรรม เช่น งานวันเกิด งานอะไรๆ ก็ตาม เราก็พากันไปเล่น เล่นไปเล่นมาก็เลยเถิดกระทั่งไปชวนเพื่อนๆ ข้างนอกมาเล่น 

Acousticthai: แสดงว่าต้องเคยมีวงของตัวเอง หมายถึงก่อนเป็นคำว่าสิญเจริญ
บอย: จำได้ว่าเราฟรอมวงกัน คือเป็นวงดนตรี มีเพื่อนมาเล่นคีร์บอร์ด พี่เบิ้ลเล่นเบส มีอกีต้าร์คือพี่บอม ผมเล่นกลองแล้วก็ร้อง ไม่รู้ว่าทำไม
ต้องร้อง แต่ถูกเลือก ตอนนั้นเราตั้งวงรวมกัน 6 คน คือ เป็นวงเด็กๆ ตอนเรียนประถม ก็เริ่มต้นกับการเล่นงานแต่ง งานบวช ทั้งๆ ที่เด็กๆ แบบนั้น 

Acousticthai: แบ่งหน้าที่กันอย่างไร
บอม: คือใครรับหน้าที่อะไรก็แกะ ก็ทำงานกันตามที่แบ่ง อย่างผมมีหน้าที่รับผิดชอบกีต้าร์ เบิ้ลดูแลเรื่องเบส บอยร้อง เราแบ่งกันแบบนั้น
พอต่างคนต่างแกะกันจนจบ ก็จะนัดมาซ้อมกัน ทั้งวงเราแบ่งงานกันชัดเจน 

Acousticthai: ตอนนั้นมีเพลงของตัวเองหรือยังครับ
บอย: เราเล่นตามเพลงที่ได้รับความนิยม ที่เราชอบ ยังไม่มีเพลงของตัวเอง

Acousticthai: มีเพลงประจำวงไหมครับ
บอย: เพลงประจำวงของเราก็คือ ดนตรีในหัวใจของ Butterfly ถือเป็นเพลงประจำวงเลยครับ อีกเพลงก็ชื่อเพลง one night in Bangkok
พี่บอมเนี่ยมือลี้ดเลย โซโลหูดับตับไหม้ แม้วันนี้เค้าจะรักอะคูสติคกีต้าร์ แต่ก่อนหน้านี้ก็เล่นกีต้าร์ไฟฟ้ามาก่อน ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเรียนมัธยม

Acousticthai: จุดเปลี่ยนของการเล่นดนตรีแบบจริงๆ จังๆ
บอม: พอถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าต้องเอาจริง เอาแบบจริงๆ คือถึงขั้นเราจะไม่เรียน เราจะเล่นดนตรี ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า "ฟาง"
ถึงจุดๆ หนึ่ง เพื่อนๆ หลายๆ คน ก็ออกกันไป ไปเรียน ไปทำอย่างอื่น แต่เราสามคนยังอยู่กับดนตรี และรู้สึกว่าเราจริงจังกับมัน 

Acousticthai: ใกล้ถึงเวลาของสินเจริญ
เบิ้ล: ใช่ครับ มันใกล้เข้ามา ในช่วงเวลานั้น ก่อนจะมาเป็นสิญเจริญ ตอนนั้นประมาณปี 38 ช่วงนั้นพี่บอมเปิดร้านอาหาร ขายอาหาร+เปิดพลง
จากเทปรวมฮิต ครั้งหนึ่งผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ได้รับอุบัติเหตุ
บอย: เค้าก็เลยต้องนอนอยู่กับบ้านเกือบเดือน เค้าก็คงไม่รู้จะทำอะไร วันหนึ่งก็เขียนเพลง แล้วพี่บอมก็ไม่รู้คิดอย่างไร ก็เอาเพลงเนี่ยไปเปิด
ที่ร้านอาหาร ตอนนั้นเปิดที่แถวๆ มหาวิทยาลัยเอเบค ปรากฏว่า พอเอาเทปที่อัดเพลงที่พี่เบิ้ลแต่งไปเปิด เปิดแล้วมีคนมาทัก ชอบ
มีคนถามถึง...เพลงใครเนี่ย หลายๆ คนที่ได้ฟังแล้วชอบ พี่บอมเองพอฟังได้อย่างนั้น พี่บอมก็รู้สึกว่า เฮ้ย เราทำเพลงกันได้นิ มีคนชอบ มีคนสนใจ
เราคุยกัน เราน่าจะทำได้ 

Acousticthai: ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น
บอย: ใช่ครับ พี่บอมตัดสินใจปิดร้าน นั่งเขียนเพลงอยู่กับบ้าน ประมาณ 6 เดือน เขียนเพลง ทำเมโลดี้ ร้อง แล้วอัดลงเทป เราทำกันเองทั้งหมด
ยุคนั้นเพลงแนว Alternative กระแสแรงมาก เช่น Modern Dog, Smile Buffalo แต่เราทำสิ่งที่แตกต่าง เราทำแบบของเรา แบบที่เป็นสินเจริญ
ซึ่งการเขียนเพลงของพี่บอม และพี่เบิ้ลจะเขียนเพลงได้คล้ายๆ กัน

Acousticthai: แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
บอย: ตอนนั้นเรามองหาค่ายที่จะให้โอกาสเราได้ทำเพลง ให้อิสระเรา เพื่อนคนนึ่ง เค้ามีโอกาสได้ไปเป็นพิธีกร ในงานงานนึ่งของค่าย
อีเอ็มไอ ก็ได้นามบัตรคนๆ หนึ่งมา พอเราได้นามบัตรมา เราก็ตัดสินใจ นำเพลงที่พี่บอม ที่เราทำกันไปเสนอ เราสามคนพี่น้องขึ้นรถเมล์กันไปเลย
ที่ตึกเกรนอัมรินทน์ นั่นคือ เราตัดสินใจ เรามั่นใจ ที่จะเดินตามความฝันของเราแล้ว เราติดต่อขอพบโปรดิวเซอร์ แต่เค้าก็ไม่ให้เข้าพบ
ก็รบเร้าอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายคุณนิด เป็นคนรับเทปเพลงเดโมจากเราไป

Acousticthai: คุณนิดเป็นโปรดิวเซอร์ ในอีเอ็มไอ?
บอย: เปล่าครับ คุณนิดเป็นแม่บ้าน! ทำความสะอาดที่ออฟฟิคนั่นล่ะครับ เค้ารับไว้ตอนบ่ายสอง พี่บอมยังแซวกับเค้าเลยว่า ขอโทษนะครับ
ไม่รู้เหมือนกันนะว่า อีเอ็มไอ มีนโยบายให้แม่บ้านมารับเดโมด้วย ก็ฮาๆ แบบเครียดๆ กัน ไม่มีอะไร

Acousticthai: มีเพลงประจำวงไหมครับ
บอย: เพลงประจำวงของเราก็คือ ดนตรีในหัวใจของ Butterfly ถือเป็นเพลงประจำวงเลยครับ
อีกเพลงก็ชื่อเพลง one night in Bangkok พี่บอมเนี่ยมือลี้ดเลย โซโลหูดับตับไหม้ แม้วันนี้เค้าจะรักอะคูสติคกีต้าร์
แต่ก่อนหน้านี้ก็เล่นกีต้าร์ไฟฟ้ามาก่อน ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเรียนมัธยม

Acousticthai: จุดเปลี่ยนของการเล่นดนตรีแบบจริงๆ จังๆ
บอม: พอถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าต้องเอาจริง เอาแบบจริงๆ คือถึงขั้นเราจะไม่เรียน เราจะเล่นดนตรี ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า "ฟาง"
ถึงจุดๆ หนึ่ง เพื่อนๆ หลายๆ คน ก็ออกกันไป ไปเรียน ไปทำอย่างอื่น แต่เราสามคนยังอยู่กับดนตรี และรู้สึกว่าเราจริงจังกับมัน 

Acousticthai: ใกล้ถึงเวลาของสินเจริญ
เบิ้ล: ใช่ครับ มันใกล้เข้ามา ในช่วงเวลานั้น ก่อนจะมาเป็นสิญเจริญ ตอนนั้นประมาณปี 38 ช่วงนั้นพี่บอมเปิดร้านอาหาร
ขายอาหาร+เปิดพลง จากเทปรวมฮิต ครั้งหนึ่งผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ได้รับอุบัติเหตุ 

บอย: เค้าก็เลยต้องนอนอยู่กับบ้านเกือบเดือน เค้าก็คงไม่รู้จะทำอะไร วันหนึ่งก็เขียนเพลง แล้วพี่บอมก็ไม่รู้คิดอย่างไร
ก็เอาเพลงเนี่ยไปเปิดที่ร้านอาหาร ตอนนั้นเปิดที่แถวๆ มหาวิทยาลัยเอเบค ปรากฏว่า พอเอาเทปที่อัดเพลงที่พี่เบิ้ลแต่งไปเปิด
เปิดแล้วมีคนมาทัก ชอบ มีคนถามถึง...เพลงใครเนี่ย หลายๆ คนที่ได้ฟังแล้วชอบ พี่บอมเองพอฟังได้อย่างนั้น พี่บอมก็รู้สึกว่า
เฮ้ย เราทำเพลงกันได้นิ มีคนชอบ มีคนสนใจ เราคุยกัน เราน่าจะทำได้ 

Acousticthai: ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น
บอย: ใช่ครับ พี่บอมตัดสินใจปิดร้าน นั่งเขียนเพลงอยู่กับบ้าน ประมาณ 6 เดือน เขียนเพลง ทำเมโลดี้ ร้อง แล้วอัดลงเทป
เราทำกันเองทั้งหมด ยุคนั้นเพลงแนว Alternative กระแสแรงมาก เช่น Modern Dog, Smile Buffalo แต่เราทำสิ่งที่แตกต่าง
เราทำแบบของเรา แบบที่เป็นสินเจริญ ซึ่งการเขียนเพลงของพี่บอม และพี่เบิ้ลจะเขียนเพลงได้คล้ายๆ กัน

Acousticthai: แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
บอย: ตอนนั้นเรามองหาค่ายที่จะให้โอกาสเราได้ทำเพลง ให้อิสระเรา เพื่อนคนนึ่ง เค้ามีโอกาสได้ไปเป็นพิธีกร ในงานงานนึ่ง
ของค่าย อีเอ็มไอ ก็ได้นามบัตรคนๆ หนึ่งมา พอเราได้นามบัตรมา เราก็ตัดสินใจ นำเพลงที่พี่บอม ที่เราทำกันไปเสนอ
เราสามคนพี่น้องขึ้นรถเมล์กันไปเลย ที่ตึกเกรนอัมรินทน์ นั่นคือ เราตัดสินใจ เรามั่นใจ ที่จะเดินตามความฝันของเราแล้ว
เราติดต่อขอพบโปรดิวเซอร์ แต่เค้าก็ไม่ให้เข้าพบ ก็รบเร้าอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายคุณนิด เป็นคนรับเทปเพลงเดโมจากเราไป

Acousticthai: คุณนิดเป็นโปรดิวเซอร์ ในอีเอ็มไอ?
บอย: เปล่าครับ คุณนิดเป็นแม่บ้าน! ทำความสะอาดที่ออฟฟิคนั่นล่ะครับ เค้ารับไว้ตอนบ่ายสอง พี่บอมยังแซวกับเค้าเลยว่า
ขอโทษนะครับ ไม่รู้เหมือนกันนะว่า อีเอ็มไอ มีนโยบายให้แม่บ้านมารับเดโมด้วย ก็ฮาๆ แบบเครียดๆ กัน ไม่มีอะไร

Acousticthai: สินเจริญไม่ได้เรียนนตรี ไม่ได้ศึกษามาจากทฤษฎี แต่กลับสามารถทำดนตรีได้
บอม: ผมไม่ได้เรียนเขียนเพลง ไม่ได้เรียนหลักการด้านดนตรี เราทำเท่าที่เรารู้สึก และเท่าที่เราจะสามารถทำได้
ลองคิดถึงครูเพลงสมัยก่อน อย่างครูสันติ ผมเคยเชิญท่านมาสัมภาษณ์ในรายการสินเจริญ สนุกมากๆ ครับ แกเป็นคนที่ร้องเพลงเพี้ยนสุด ๆ
แต่แกเขียนเพลง และทำเมโลดี้ได้ดีมาก ยกอย่างเพลง ลมหายใจของความคิดถึง ..."อาจมีสักครั้งในชีวิตหนึ่ง จะซาบซึ้งกับหัวใจ
อ่านบทกลอน...แล้วร้องไห้ ฟังเพลงได้ตลอดคืน ลม........ลมหายใจ ความคิดถึง..." ผมว่ามันน่าทึ่งมาก ทั้งเนื้อร้อง และเมโลดี้
บางเพลงของท่านออกไปทางแจ๊สเลยครับ น่าทึ่งมากๆ ผมคิดว่าดนตรีเป็นเรื่องของพรสวรรค์ อันนี้มีส่วนสำคัญจริงๆ ครับ

Acousticthai: หลังจากทำงานในห้องอัดจบ ผลงานเพลงออกมาเป็นอย่างไรบ้างครับ
บอย: เรามีเพลงติดชาร์ตแบบแรงๆ ดังทั่วประเทศ ก็คงต้องพูดถึงเพลง “สัญญา” เพลงนี้พี่บอมแต่งครับ แล้วก็เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมาก
และเป็นเพลงในเดโมแรก เพลงนี้ได้มากจากความรักครั้งแรกของผม เราคบกันมาก 5 ปี แต่สุดท้ายเราก็เลิกลาจากกัน พี่บอมก็หยิบเอามา
ตอกย้ำผมด้วยเพลง “สัญญา” และมันก็ได้ผล

Acousticthai: ถ้าจำไม่ผิดจะมีอีกเพลงที่ติดซาร์ตแรงๆ เช่นกัน
บอย: ใช่ครับ ชื่อเพลง “รักเธอ” 

Acousticthai: เล่าถึงเพลง "รักเธอ" ให้ฟังหน่อยครับ
บอย: เพลง"รักเธอ" เป็นเพลงที่เกิดจากคุณบุ้ม ปราถนาชัยโรจน์ ซึ่งเธอก็คือรองนางสาวไทยปีเดียวกับคุณป๊อบ อารียา ซึ่งเราก็เป็นเพื่อนกัน
เรื่องคือ มีผู้ชายคนคนหนึ่งเข้ามาชอบเธอ มาหลงรักเธอ ผู้ชายคนนี้ก็เขียนเพลง "รักเธอ" ขึ้นมา เขาถือมาให้เรา แล้วบอกว่า
อยากจะให้เราพิจารณาในการนำเอาเพลงของเค้าไปลงในอัลบัมของสินเจริญ เขาพูดว่า เขาคงไม่สามารถที่จะเขียนเพลง ที่สามารถสื่อถึงความรักที่มีต่อ
ผู้หญิงของเขาได้ในแบบนี้อีกแล้ว เค้าหยิบกีต้าร์ขึ้นมาแล้วเล่น ร้องให้เราฟัง เราชอบ...

พี่บอมก็เอามาลงมือ ทำ arrange หาเมโลดี้ท่อนขึ้นท่อนจบให้กับมัน ตกแต่งดนตรีในแบบสินเจริญ แต่จะว่าไป เราแทบไม่ต้องจะตัดถอน
หรือปรับอะไร คือเค้าเขียนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วเพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่ดี ดังนั้น นอกจากเพลงสัญญา ที่ทำให้ใครๆ
รู้จัก “สินเจริญ บราเธอร์ส” เพลง รักเธอ ก็คืออีกเพลงที่ใช่

Acousticthai: ทางอีเอ็มไอ วางแผนเป้าหมายกับยอดขายไว้มากไหมครับ
บอย: ทางค่าย หรืออีเอ็มไอ ต้องการ 30,000 แผ่น ถ้าทำได้ เค้า happy แล้ว และถ้าทำได้ นั่นก็คือ เราก็จะได้ส่วนแบ่ง เราจะได้ตังค์ครับ

Acousticthai: ยอดขายเป็นอย่างไรบ้างครับ
บอย: เราทำได้ 100,000 แผ่น ซึ่งถือว่า เราพอใจมากๆ ครับ ทางค่ายก็มีความสุข ทุกๆ ฝ่าย Happy

Acousticthai: หลังจากอัลบัมแรก เกิดอะไรขึ้นต่อครับ
บอย: ตอนนั้นอีเอ็มไอหยุดทำเพลงครับ เป็นเรื่องของการเจรจา และนโยบายจากบริษัทแม่ กับทิศทางของการที่จะมีนโยบายทำเพลงไทย
หรือไม่ทำ สรุปคือ หยุดนโยบายตรงนี้ ชุดสองเราจึงต้องย้ายบ้านไปอยู่โซนี่ และออกกับโซนี่ไม่ประสบณ์ความสำเร็จ เราไม่ได้ทำงานกันเอง
อย่างเต็มที่หมือนตอนอยู่ อีเอ็มไอ จากที่เคยได้ทำร้อยเปอร์เซ็น มันไม่มีแล้ว เพลงโปรโมทเราก็ไม่ได้เขียน เพลงที่เราเขียนไม่ได้โปรโมท
เราทำงานกันแบบหาจุดตรงกลางไม่ได้ ประชุมแต่ละครั้งเครียด สุดท้ายก็แยกจากกันไป เราหยุดบทบาททั้งหมดลง

วาทะ/ประโยคที่น่าฟัง ซึ่งได้แง่คิด ของคุณบอม พี่ชายคนโต ของครอบครัวสินเจริญ:
“รสนิยมในการเสพเพลงของเรา เราเหมือนดื่มกาแฟ ชานมเย็น แต่ขณะเดียวกันเราก็ดื่มแป๊ปซี่ด้วย" คือเราเปิดกว้าง...
หลักการทำงานของเรา เราจะไม่เคยหยิบเพลงของคนศิลปินดังๆ มาฟัง แล้วก็บอกว่าชอบลายนั้นลายนี้ แล้วเอามาใช้ แต่เราจะนั่งคุยกันว่า
สองปีสามปีที่ผ่านมา เราเจออะไรกันมาบ้าง แล้วหยิบมาเป็นแนวทาง เป็นเพลงของเรา นั่นก็คือ เราไม่ศึกษาจากของใคร
ไม่ใช่ว่าเราตั้งตนเป็นเอกเทศ แต่เราไม่ชอบที่จะทำในแบบอื่นๆ นอกจาก... แบบที่เราเป็น.

Acousticthai: งานดนตรีบนถนนเกิดขึ้นได้อย่างไร
บอย: เราติดสัญญากับโซนี่ เค้าห้ามใช้ชื่อ “สินเจริญ บราเธอร์ส” เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งอยู่เฉยๆ
ผมจึงคิดว่า เราจะแสดงออก ทางริมถนน ซึ่งดนตรี และเพลง เราเขียนขึ้นมากันใหม่หมด เราเล่นมาตลอด 4 ปี 

Acousticthai: เริ่มต้นจากสถานที่ตรงไหนครับ
บอม: เราเริ่มเล่นจากสยาม ท่าพระจันทน์ หลากหลายที่ 

Acousticthai: มีชื่อกลุ่มไหมครับ
บอม: เราใช้ชื่อกลุ่ม independence artist จุดสำคัญตอนนั้น คือเราสามารถรวมกลุ่มคนอิสระดนตรี ทั้งชาย และหญิง
เสื้อลายดอกเป็นสัญญาลักษ์หนึ่ง 

เบิ้ล: (เสริม) เมื่อเวทีของวงการเพลงมันมีให้เราแสดงออกได้น้อย เราจึงกำหนดเวทีเอง คือ เวทีริมถนน

บอม: (อธิบายเพิ่ม) เราเล่นแม้กระทั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส คนในวงการรู้หมดว่า พวกเราทำอะไร นอกจากในบีทีเอส
ผมยังเล่นกับบนเครื่องบิน หลังจากแอร์ฮอทฯ แจกจ่ายกาแฟ เราก็ลุกขึ้นยืน ประกาศให้กับผู้โดยสารรู้ว่า ทุกๆ ท่านครับ พวกเราคือ
independence artist บอกที่มาที่ไป แล้วบรรเลงเลย

Acousticthai: มีแรงต้าน หรือแรงตอบรับกับการทำแบบนี้ไหมครับ
บอม: สิ่งที่เราทำได้รับความสนใจมาก บีบีซี เอสเค สำนักข่าวหลายช่องให้ความสนใจ ผมทำกันมาแบบนี้ประมาณ 4 ปี
เราได้เล่น free concert ในช่อง 9 เราได้เล่นตามรายการต่างๆ ตามสถานีโทรทัศน์โดยไม่ต้องซื้อเวลา การที่จะเอาวงอะไรมาเล่น
ก็ต้องคำนึงถึงเรทติ้ง แต่เราได้รับเกียร์ตินั้นครับ

เบิ้ล: ข่าวบันเทิง ข่าวศิลปะ สื่อมวลชน อย่าง Jazz festival เรายังได้รับเกียร์ติ ให้ไปเล่นในงานนั้น 

บอม: เราได้เล่นกับวง ดังๆ จาก มาเลเซีย สิงห์โปร อังกฤษ ซึ่งผมคิดว่าเราโนเนมที่สุดแล้ว แต่เราได้รับเชิญ เราได้เล่นเพลงที่เราแต่ง
เรามีโอกาสได้เล่น music festival ที่ห้าง Emporuim ในครั้งแรก เราได้รับเสียงตอบรับอย่างดี
ผมคิดว่าเพลงเราเป็น word music เราเป็นดนตรีในแบบแนวสร้างสรรค์ 

เบิ้ล: เรามีเครื่องดนตรีทุกๆ อย่าง หลายสิบชิ้น มีไวโอลิน มีฟรุ๊ต มีแคน มีเซกโซโฟน เครื่องเป่า เครื่องเคาะมากมาย เราได้หัดกันเอง

Acousticthai: ขอถามเรื่องราวคุณแอนบ้างครับ ตอนนี้ยังสอนร้องเพลงอยู่ไหม
แอน: ยังสอนค่ะ แต่โรงเรียนเราย้ายมาอยู่ตรง พระราม 9 ซอย 41 นันทนา Studio เป็นโรงเรียนเล็กๆ คือ เราย่อขนาดให้เล็กลง เพราะเรา
อยากมีเวลาทำอย่างอื่นด้วย 

Acousticthai: เปิดสอนมากี่ปีแล้วครับ
แอน: โรงเรียนเราเปิดมาสิบกว่าปี เด็กบางคนตอนมาเรียน 6 ขวบ ตอนนี้ เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 คือเราเปิดมานาน มากมายหลายรุ่น
ที่จบออกไป

Acousticthai: นักเรียนที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่เป็นวัยไหนครับ
แอน: นักเรียนมีหลายวัย ตั้งแต่ 6ขวบ ถึงวัยผู้ใหญ่ เราสอนแบบตัวต่อตัว ไม่มีกลุ่ม ไม่มีคู่ เพราะว่าข้อแก้ไขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 

Acousticthai: เด็กบางคนมาเรียนเพื่อต้องการประกวด
แอน: ถ้าเด็กเกินไป คืออายุน้อยเกินไป แอนคิดว่าการเรียนเพื่อประกวดอาจจะทำให้ไม่สนุก และเมื่อพลาดหวังอาจจะไม่ดีต่อตัวเด็ก
แต่ถ้าเอาแบบสนุกๆ ประกวดหาประสบการณ์คงได้ เขาอาจจะได้อะไรมากกว่า

Acousticthai: คุณแอนจบทางด้านดนตรี โดยตรงหรือเปล่าครับ
แอน: แอนจบด้านดนตรีโดยตรง เอกขับร้องสากลค่ะ พอเรียนจบก็ได้เป็นนักร้องที่แกรมมี่ แล้วก็เปิดโรงเรียนสอนร้องเพลง ตอนจบแอน
จบเกียร์ตินิยมเหรีญทอง เกรดมันดูดีดูสวย ก็เลยได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่

Acousticthai: นอกจากงานร้องเพลง และงานสอนร้องเพลง ยังมีอะไรที่ทำอยู่อีกครับ
แอน: หลังจากเป็นนักร้อง ออกผลงานอัลบัม แอนก็ได้ทำงานเป็นนักพากษ์ ตอนนี้ก็อัดเสียงให้กับละครเกาหลี, หนังการ์ตูนให้กับทางช่อง 7
ซึ่งในครั้งแรกก็ได้รับโอกาสจากทางผู้ใหญ่ ก็คือคุณแดง เค้าเองก็เห็นว่าเราผ่านงานร้องเพลง แสดงละครมาแล้ว ในเรื่องข้าวนอกนา
ซึ่งตอนนั้นก็ได้รับเสียงตอบรับดีมาก ทางผู้ใหญ่เค้าคิดว่าเราทำได้ แอนก็เลยได้มีโอกาสทำงานเป็นนักพากษ์

Acousticthai: พากษ์หนังแบบไหนบ้างครับ
แอน: หลายอย่างเลยค่ะ เช่น หนังการ์ตูน เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่ง อย่างบิกซีนิม่าคืนวันเสาร์ในช่อง 7 เป็นต้น 

Acousticthai: หนังแนวไหนครับ ที่พากษ์ได้ยากมากที่สุดครับ
แอน: หนังจีนยุคเก่าๆ อย่างมังกรหยก พวกหนังพีเรียดจะยากค่ะ 

Acousticthai: ชอบงานอะไรมากที่สุด
แอน: จริงๆ แล้วแอนชอบทุกๆ อย่างที่มีโอกาสทำ อย่างการแสดงกับเรื่องข้าวนอกนา แต่พอได้ลองทำทุกๆ อย่างทั้งหมดแล้ว
แอนก็รู้สึกชอบงานร้องเพลง งานสอน แล้วก็งานพากษ์ งานพากษ์ชอบมากค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ทำก็คงไม่เลิก สนุกค่ะ ได้ดูหนังด้วย
ส่วนงานสอน ยุคเมื่อ 5-6 ปีก่อนหน้านี้ ถือว่ากระแสดีมาก ตอนนี้ก็เลยชอบงานร้องเพลง งานสอนร้องเพลง และงานพากษ์

Acousticthai: งานพากษ์ยากไหมครับ
แอน: ตอนแรกที่ได้รับโอกาส ก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ แอนก็เลยตัดสินใจทำเลย ตอนนั้นคิดว่า งานพากษ์ก็คือการใช้เสียง
งานร้องเพลงก็เป็นเรื่องของเสียง ส่วนด้านอารมณ์การร้องเพลงก็ต้องใช้อารมณ์ ดังนั้นจึงค่อนข้างไม่กังวนมากนักในตอนแรก คือมั่นใจว่า
ทำได้ค่ะ

Acousticthai: อัดเสียงพากษ์ในครั้งแรก เรื่องอะไรครับ
แอน: ตอนอัดเสียงพากษ์ครั้งแรก ได้มีโอกาสที่ดี คือ ตอนนั้นเรื่อง "เขี้ยวเงิน" เสียงตอบรับเรื่องนี้ดีมากๆ ค่ะ แอนก็ได้พากษ์เป็นตัวละคร
เขี้ยวเงิน ตัวเอกของเรื่อง คือไปออกงานที่ไหน ก็มักจะมีคนให้ออกเสียงของตัวละครเขี้ยวเงิน ซึ่งตอนนั้นก็แสดงละครเรื่อง
ข้าวนอกนา ไปด้วย ตอนนั้นทำงานสามอย่างนี้ในเวลาใกล้กันเลย คือทั้งแสดงละคร งานพากษ์ และได้เป็นนักร้องที่มีผลงานผ่านการออกำอัลบัม

Acousticthai: มีโปรเจ็กร่วมทำงานอัลบัมเพลงกับสินเจริญไหมครับ
แอน: ก็ยังอยู่ในช่วงคุยๆ และคิดๆ กันอยู่ คุณบอมก็อยากจะทำค่ะ แต่ตอนนี้ติดที่เวลา เราต่างมีงานที่ต้องทำในแต่ละวันเยอะมากๆ
งานโชว์ของสินเจริญ, event ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด งานโรงเรียนของแอน งานภาคหนัง ฯลฯ ถ้ามีโอกาสและเวลาก็อยากจะทำงานเพลง
กับคุณบอม กับสินเจริญค่ะ ควดูเวลาและจังหวะกันอีกทีค่ะ

Acousticthai: ชีวิตคู่ล่ะครับ คุณแอนกับคุณบอม เจอกันได้อย่างไร
แอน: เคยเจอตอนเค้าออกำเทปชุดแรก เจอบนเวทีเดียวกันบ้าง แต่ว่ายังไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แค่รู้จักว่า นี้คือ สินเจริญ
ตอนที่ได้เจอกันแบบจริงๆ จังๆ และมีโอกาสได้คุยกัน ก็คือที่ร้านอาหารเดอะบาร์ เป็นงานเลี้ยง คุณบอมก็เชิญแอนขึ้นไปร้องเพลงแจมกัน
พอขึ้นไปร้องจบ คุณบอมก็ส่ง message ผ่านทางมือถือ ขอบคุณที่แอนขึ้นมาแจมร้องเพลงกัน หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุย และสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

Acousticthai: คุณบอมแอบไปมีเบอร์คุณแอนได้อย่างไรครับ
บอม: อ๋อ จริงๆ แล้วผมมีก่อนหน้านี้ เพราะว่าเคยเชิญคุณแอนมาในรายการสินเจริญ เชิญแขก ก็เลยได้เบอร์ในตอนนั้น ซึ่งยังไม่ได้คิดว่าจะจีบ
หรือสนใจ แต่ประทับใจว่าคุณแอนเป็นผู้หญิงเก่งคนนึ่ง

Acousticthai: ในคืนที่คุณแอนขึ้นมาร้องเพลง คือวันที่ตัดสินใจจีบ
บอม: ก็หลังจากคืนนั้น ผมก็รู้สึกว่าจะจีบ คือเราเริ่มสนใจเค้าแบจริงๆ จัง ผมรู้สึกว่าคุณแอนสวย และ sexy มากๆ ในคืนนั้น (หัวเราะ)
คือสเปคผมเป็นแบบนี้ คืนนั้นพอคุณแอนร้องเพลง ผมรู้สึกดีมากๆ ทำให้เราได้คุยกันง่ายขึ้น แล้วพอดีว่า
เพื่อนสนิทของคุณแอนก็เป็นเพื่อนสนิทของผม คือเรามีเพื่อนสนิทคนเดียวกัน

Acousticthai: ตอนนี้สินเจริญทำรายการวิทยุด้วย เป็นมาอย่างไรครับ
บอม: เอฟเอ็ม 103.5 (FM 103.5) ก็เราทำสินเจริญ เชิญแขก จนสำเสร็จในยูบีซี ทางคลื่น FM 103.5 ก็อยากให้เราทำ สำหรับเวลาของการ
จัดรายการที่ FM 103.5 เราจัดรายการตั้งแต่ 8.00 – 10.00 น. ทางคลื่นให้อิสระเราเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราช่วยกันคิด concept 

Acousticthai: ในรายการ FM 103.5 มี Concept เป็นอย่างไรครับ
เบิ้ม: เราทำรายการแบบการพูดคุยถึงชีวิตประจำวัน ว่าเราไปเจอไรกันมากบ้าง เช่น ไปเล่นดนตรีไปเจออะไรมาบ้าง คนฟังคงรู้สึกว่า
เขาไปกับเราในทุกๆ ที่ ที่เราเดินทาง เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งเราจะมีหัวข้อที่นำมาพูดคุยกันไม่ซ้ำในแต่ละวัน
และมีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังทางบ้าน สามารถโทรเข้ามาคุยสด แสดงความเห็น และแชร์ประสบการณ์สดๆ ครับ

Acousticthai: แล้วทางยูบีซีล่ะครับ
บอย: ส่วนทางยูบีซี เราคิดกันเองอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์ ยูบีซี 7 และ 21 โดยมี concept เกี่ยวกับการพูดคุยถึงความสุขของแขก
ก็คือการนำเอาปาร์ตี้ที่อยู่ข้างนอกมาไว้ในทีวี เชิญแขกมาพูดคุย และร่วมร้องเพลงกัน

เบิ้ม: คือ หลังจากกลุ่มนตรีอิสระข้างถนน หลายคนแยกย้าย ส่วนสัญญาที่ผูกมัดเราอยู่ก็หมด เราสามคนยังอยากเล่นดนตรีอยู่ ผมเอง
มีประสบการณ์กับการอยู่เบื้องหลัง การทำรายการโทรทัศน์ แล้วผมคิดอยู่นานแล้วว่า อยากทำรายการเราสามคนพี่น้อง เชิญแขกมาพูดคุย
ในรายการ ร่วมร้องเพลง เราช่วยกันคิดกระทั่งประสบความสำเร็จในวันนี้

Acousticthai: ตอนนี้คุณบอมสะสม acoustic guitar ไว้มากมายเลยตัวเลยใช่ไหมครับ
บอม: ครับ ผมซื้อกีต้ารฺตัวแรกซึ่งคิดวาจะสะสม คือTaylor 612 ผมรู้สึกว่า x12 คือ ทรงที่ผมถนัดกับมันอย่างแรง
แล้วผมก็ชอบไม้ Maple จริงๆ แล้วผมมีกีต้าร์หลายตัวมานานมากๆ แล้ว แต่ตอนแรกซื้อแบบไม่ได้หวังว่าจะสะสม
แต่ซื้อเพราะชอบ เจอถูกใจก็ซื้อ ตอนนี้ก็ซื้อเพราะชอบ คือถ้าได้เจอแล้วชอบผมก็ซื้อ

Acousticthai: มี Acoustic guitar หลายๆ ตัวแบบนี้ เคยคิดจะเลิกซื้อไหมครับ
บอม: เอาจริงๆ นะ (ท่าทางซีเรียส) ยังไม่เคยครับ คือถ้าถูกใจและมีเงินก็ซื้อ จะมีพูดว่าเลิกซื้อบ้าง ก็แค่ทำให้คนข้างๆ สบายใจ
(หันไปมองคุณแอน) แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังชอบที่จะซื้ออยู่

Acousticthai: เคยได้ยินว่าTommy Emmanuel เคยอัดอัลบัมให้
บอม: ใช่ครับ คือ Tommy Emmanuel เคยมาเมืองไทย แล้วเคยมาอัดบางเพลงให้เราในชุดที่สอง หลังจากที่อัดเพลง
ผมและน้องๆ ในนาม สินเจริญ เคยได้ขึ้นแจมหลายๆ โชว์ในเมืองไทยคู่กับทอมมี่. ในครั้งหนึ่ง Tommy ได้แนะนำ Maton ให้ผมรู้จัก
ผมยังมีโอกาสซื้อมาใช้ น่าจะประมาณสิบปีได้แล้ว

Acousticthai: มีตัวไหนบ้างที่อยากพูดถึง
บอม : อย่าง Maton ก็ชอบ อย่าง Morris ก็ชอบ ผมติดใจกับซาวด์ของ Morris มาก Morris ถือเป็นกีต้าร์เอเซียที่น่าสนใจมากๆ
Gibson L-OO คือผมประทับใจ Robert Johnson มากๆ ก็เลยอยากที่จะมีกีต้าร์ Blues ไว้สักตัว และที่รักมาก ก็คงจะเป็น Morgan
กีต้าร์มาจาก Canada ครับ เป็นไม้ Koa ทั้งตัว ผมชอบมากๆ ออกงานกันบ่อยๆ แล้วสำหรับ Taylor ผมชอบมากๆ
เช่นกัน Series 4 ผมชอบมากๆ สำหรับกีตาร์ Taylor ผมต้องลงท้ายด้วย 12 เท่านั้น คือชอบมากๆ ครับ ตั้งแต่ 312 412 612 812 912
คือทรงของมันโดนใจผมมาก คล่องตัว เล่นง่าย และ ผมก็ชอบซาวด์ของ Taylor มากๆ ผมสะสม Taylor ตั้งแต่ตอนที่ยังใช้ Fishman Pre.
ซึ่งทำได้ดีมากๆ ส่วนยี่ห้ออื่นๆ เช่น Gibson J150, SJ200 และ Martin D-45, OOO-42 ก็ชอบมากๆ นะครับ ถ้าถามว่าชอบตัวไหน
ก็คงชอบทุกตัว แต่จะมีบางตัวที่อออกงานบ่อยๆ เช่น Morgan เป็นต้น

Acousticthai: งานของสินเจริญฯ ตอนนี้มีอะไรบ้างครับ
สินเจริญ บราเธอร์ส: ตอนนี้งานอัลบัมเรามีโปรเจ็กอยู่ครับ แต่งานหลักๆ ของเราขณะนี้ก็คือ งานวิทยุ งานโทรทัศน์ งาน event ต่างๆ
เช่นงานเปิดตัวสินค้า บ้าน คอนโดฯ และงานโชว์ต่างๆ เรารับงานพวกนี้ทั้งหมด 

Acousticthai: ถ้ามีใครสนใจจะว่าจ้างให้ไปแสดงในงานต่างๆ สามารถติดต่อที่ไหนได้ครับ
สินเจริญ บราเธอร์ส: สามารถติดต่อได้ที่คุณเขียว เขาเป็นผู้จัดการที่ดูแลเรื่องงาน คิวและเวลาของสินเจริญ ติดต่อที่หมายเลข 086-384-0390 

สำหรับคุณบอมแล้ว อะคูสติคกีต้าร์ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่เขาหลงรัก นั่นคืออีกหนึ่งมิติของคนที่รัก ซึ่งคนที่ไม่ได้รักจะไม่สามารถเข้าใจ...
และสำหรับแฟนเพลงหรือแฟนคลับของครอบครัว “สินเจริญ บราเธอร์ส” ท่านสามารถติดตามผลงานเพลงของเขาซึ่งอาจจะมีให้สัมผัสกันเร็วๆ นี้
หากนึกถึงและคิดถึงพวกเขา ก็สามารถพบกับเขาได้ที่หน้าปัดวิทยุ...
FM 103.50 ตั้งแต่เวลา 8.00 - 10.00 น. ฟังรายการทาง 103.50 และทางรายการมทีวีที่ช่องยูบีซี
ทีมงานอะคูสติกไทย(www.Acousticthai.Net) ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้