ก่อนจะคุยเรื่อง "tone bars" ผมขอย้อนกลับไปคุยเรื่อง top bracing ของกีตาร์ก่อนนะครับ
History of Modern Guitar Bracing Stylesเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนนั้นกีตาร์สายเหล็กและกีตาร์ทรงใหญ่ยังไม่เกิด สไตล์ของ bracing ที่นิยมใช้กันก็คือ bracing รูปพัดหรือ fan bracing ความเปลี่ยนแปลงสองครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเวลาห่างกันไม่กี่ปีโดยช่างสองคนในสองทวีปครับ
ในปี 1843 Christian Frederick Martin ใด้เริ่มใช้ X bracing ซึ่งต่อมาก็กลายเป็น bracing มาตรฐานสำหรับกีตาร์สายเหล็กในปัจจุบันและในปี 1850 Antonio Torres ใด้เริ่มใช้ fan bracing Torres style ที่เหนือชั้นกว่าสไตล์เดิมๆมากมายและก็เป็น bracing มาตรฐานของกีตาร์สายไนล่อนในปัจจุบัน
ถ้าดูจากรูปผมคิดว่าเป้าหมายหลักของ C.F. Martin ในตอนนั้นคือการออกแบบ bracing ที่ไม่ยุ่งยากและประหยัดเวลามากกว่า fan bracing เพราะใช้ brace เพียง 6 ชิ้น เรื่องที่ X bracing แข็งแรงกว่าสำหรับกีตาร์สายเหล็กที่เริ่มมีขายหลังจากนั้นกว่าเจ็ดสิบปีน่าจะเป็นเรื่องโชคช่วยครับ
ถ้าอยากทราบว่า Martin ปี 1843 เสียงดีแค่ไหนก็ลองฟังใด้เพราะเขาเพิ่งทำรุ่น replica ออกมาขายในราคาสามแสนบาท
วิวัฒนาการของ Tone BarsTone bar นั้นเขาใช้ในเครื่องสายประเภท violin, viola, cello มาหลายร้อยปีแล้วและมีการนำมาใช้กับ archtop guitar ในยุคหลังด้วย เครื่องดนตรีพวกนี้เขาขุดไม้หน้าจากไม้ท่อนหนาๆจึงมีความแข็งแรงมากจนไม่ต้องใช้ bracing หน้าที่หลักของ tone bar คือการช่วยให้เสียงเพราะขึ้นโดยเพิ่ม resonance ในย่านเสียงต่ำครับ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเอาศัพท์นี้มาใช้กับกีตาร์โปร่งแต่สมัยนี้ tone bars มีใช้กันแทบทุกสไตล์ของ bracing ของกีตาร์สายเหล็กซึ่งเขาวางตามขวางในขณะที่พวก archtop จะวางตามยาวในรูปข้างบน
หน้าที่ของ tone bar ที่วางในแนวขวางนั้นน่าจะเป็นการจำกัดการบิดตัวของ bridge และไม้หน้าในแนวขนานกับ grain ซึ่งตา Ervin Symogyi บอกว่าจะช่วยลด resonance ของเสียงแหลมของกีตาร์สายเหล็ก (จริงหรือเปล่าผมไม่ทราบ)
สรุปว่าผมไม่ทราบเหมือนกันว่าการวาง tone bars สลับด้านมีผลต่อเสียงโดยรวมแค่ไหน ถ้าอยากรู้มากกว่านี้คงต้องไปถามคนสร้างหรือถามท่านนายกฯเพราะท่านบอกว่าท่านใช้กูเกิ้ลเก่งกว่าคนไทยทั่วไปอย่างผมเยอะครับ