Untitled Document

ผู้เขียน หัวข้อ: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง  (อ่าน 1717 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

yadong2bath

  • member
  • ***
  • กระทู้: 34
  • เพศ: ชาย
สวัสดีน้าๆ ทุกท่านครับ วันนี้มีเรื่องมาสอบถาม ขอคำชี้แนะครับ

ผมมือใหม่พึ่งเริ่มอยากสนอง Need ตัวเอง ทำห้อง Studio เล็กๆ ไว้ที่บ้าน เพื่ออัดผลงานเข้าโลกออนไลน์

วัตุประสงค์แค่อยากให้เสียงดนตรี และเสียงร้อง มีคุณภาพระดับนึง เริ่มศึกษาหาข้อมูลมาสักพัก ได้อุปกรณ์ และแนวทางในดวงใจแล้ว

แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่หาใน Google แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ เลยมาถามผู้มีประสบการณ์ครับ

1. Audio Interface - ตอนนี้ชั่งใจระหว่าง Focusrite Scarlett 2i2 กับ Tascam US112 MKII (มือสอง) ไม่ทราบน้าๆ แนะนำยี่ห้อไหนครับ

2. Audio Interface - จากประสบการณ์น้าๆ แล้ว 2 Input พอมั๊ยครับ หรือมี Spec อะไรที่ต้องใช้เป็นพิเศษ จะได้ซื้อทีเดียวจบครับ (ใช้อัดกีตาร์กับเสียงร้อง)

3. Mic - จำเป็นต้องเป็นไมค์คอนเดนเซอร์มั๊ยครับ ที่สงสัยคือห้องผมคงไม่ได้บุตัวซับเสียง อาจมีเสียงแวดล้อมบ้าง แก้ปัญหาตรงนี้ยังไงครับ

4. กีตาร์ - ผมใช้ Crafter ซึ่งภาคไฟฟ้ามีทั้งไมค์รับเสียง และ Piezo (2 ระบบ) การอัดเสียงใช้แค่เสียบสายผ่านภาคไฟฟ้าของกีตาร์พอมั๊ยครับ หรือว่าใช้ไมค์จ่อดีกว่าครับ

5. การอัด - เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี ต้องอัดเสียงร้องกับกีตาร์คนละ Track กัน แล้วค่อยมาซ้อนกันใช่มั๊ยครับ (อัดคนละรอบ) หรือเล่นทีเดียวแต่แยก line กีตาร์กับร้องเข้าคนละช่อง Input เสียงจะปนกันมั๊ยครับ

รบกวนน้าๆ เท่านี้ก่อนครับ ขอบคุณครับ

JOB Acoustic

  • member
  • ***
  • กระทู้: 745
  • Job Acoustic Pickup
    • www.facebook.com/JobAcoustic
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2019, 09:14:10 »
หากเริ่มต้นใหม่ และต้องการอัดร้อง + กีต้าร์โปร่ง ผมแนะนำ handy recorder Zoom h1 ก่อนก็ได้ครับ
เพราะสิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้การใช้งานโปรแกรม และการจัดการระยะ ระดับของไมค์ ให้ได้เสียงที่บันทึกมาดีเสียก่อน
Zoom h1 เสียงไม่ได้ขี้เหร่เลยครับ ถ้าปรับในโปรแกรมดีๆ อัดมาให้มีไดนามิกที่ดี เสียงมาเต็ม ไม่พีค ไม่เบาและแผ่วเกินไป
ก็จะคัดในโปรแกรมได้ ใส่ vst plugin เข้าไป เสียงก็โอเคแล้วครับ

ถ้าอยากให้เสียงดีไปอีกระดับก็ซื้อชุดโฮมสตูดิโอมาใช้งานครับ ไมค์คอนเด็นเซอ์หรือไดนามิกแล้วแต่เราจะสดวกใช้ให้เหมาะกับห้อง และเสียงรบกวน แต่ให้ความสำคัญกับไมค์ซักหน่อยจะดีครับ ในเรื่องของคุณภาพไล่ตามราคา การใช้  Audio Interface มันละเอียดอ่อนกว่าพอสมควรเพราะมันมีหลายองค์ประกอบที่เราจะต้องเรียนรู้มากขึ้นไปอีกครับ ถ้าใช้งานมันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เสียงอาจจะพอๆกับ handy recorder ได้ครับ แต่ถ้าสนใจจริงจังนี้ไม่ยากครับ

การอัดจะแยก Track  หรืออัดรวม อันนี้แล้วแต่เราสดวกเลยครับ
ถ้าแยกมาเป็นชิ้นๆก็จะดีตรงแก้ได้เป็นชิ้นๆไป เวลางานก็เพิ่มขึ้น
อัดรวมก็ง่าย ไว แต่แก้ทีละชิ้นไม่ได้ครับ
โทร 090-3084593 จ๊อบ

tanakornton

  • member
  • ***
  • กระทู้: 480
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 04, 2019, 19:12:59 »
1.Audio interface ของ scarlet ก็เอาอยู่ครับ แต่ของผมใช้ค่าย Presunus
2.ใช้2 input พอครับ
3.ไมค์ควรใช้คอนเดนเซอร์ครับ แนะนำ Rode nt1a ซึ่งผมก็ไม่มีห้องอัดนะ อัดในห้องนอน อาศัยอัดช่วงกลางคืน ไม่มีรถวิ่ง เสียงก็โอยุนะ
4.ส่วนกีตาร์ ผมว่าใช้ไมค์ไดนามิคจ่อ เสียงดีกว่าเสียบสายนะ
5.การอัด ผมอัดเป็น track แล้วค่อยมาซ้อนกัน (สะดวกเวลาซ่อม คือท่อนไหนร้องหรือเล่นไม่ดีก็ตัดออก อัดใหม่เฉพาะท่อนนั้น)
ที่สำคัญ เรื่องโปรแกรมทำเพลง ผมแนะนำ อัดใช้ cubase ตัดต่อ มิกซ์ ใช้sony vegas
<a href="http://youtu.be/KutmZdLpUOk" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://youtu.be/KutmZdLpUOk</a>

<a href="http://youtu.be/JWR_vvccC-0" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://youtu.be/JWR_vvccC-0</a>

<a href="http://youtu.be/8MuiK4b4nXc" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://youtu.be/8MuiK4b4nXc</a>
Fb : ธนกร พละรังสี

tanakornton

  • member
  • ***
  • กระทู้: 480
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 04, 2019, 19:22:02 »
พอได้ผลงานที่เราพอใจออกมาแล้ว ก็อัพขึ้น Youtube แชร์ใน Facebook วันว่างๆก็นอนฟังผลงานตัวเอง  พอผ่านไประยะหนึ่งก็คอยสังเกตุยอดวิว ว่ามีคนดูคลิปเราเท่าไร ก็มีความสุขดีนะครับ
Fb : ธนกร พละรังสี

radhanasiri

  • member
  • ***
  • กระทู้: 65
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 05, 2019, 04:23:32 »
3. ไมค์
ผมใช้โปรแกรม Audacity
อัดด้วย SAMSON Go Mic ครับ เสียงชัดดีเลยหละครับ

(กล้าบอกว่าเสียงดีเพียงพอ เพราะผมฟังเสียงแล้วแยกเพลง MP3 128 ทั่วไป กับ CD ได้ 100%
ส่วน MP3 320 อาจมีบางเพลงที่แยกได้ยาก โดยเฉพาะเพลงที่เน้นใช้แค่ range เสียงกลางๆ ไม่ถูกบีบ/ตัดออกมากนัก
ถ้ารวมกับใช้เครื่องดนตรีบางชนิดที่มีธรรมชาติให้เสียงไม่อิ่มเท่าไร ก็มีโอกาสพลาดมากหน่อย
ถ้ารวมกับต้นฉบับบันทึกมาดีมากๆ แถมเครื่องเสียงดีๆเข้าไปอีกก็อาจแยกไม่ออก
แต่ถ้าเปิด CD ต้นฉบับเทียบผ่านเครื่องเสียงชุดเดียวกันก็แยกได้อยู่ดีครับ เพราะความอิ่ม ความสั่นสะเทือนของเสียงเบสและหางเสียงมันฟ้อง
ความฟรุ้งฟริ้งมันต่างกันอยู่เล็กน้อยครับ)
 
ยุคก่อนๆเรื่องอุปกรณ์เคยเป็นปัญหาหลักๆ ฟังแล้วคนส่วนใหญ่แยกคุณภาพได้ชัดเจน
แต่ตอนนี้มันมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อคุณภาพเสียงมากกว่าหรือพอๆกันแล้วครับ
เป็นเพราะอุปกรณ์ยุคนี้แม้ราคาไม่สูง ก็มีคุณภาพดีกว่าอุปกรณ์(ในคลาสเดียวกัน) ยุค 10-20 ปีก่อน เยอะเลย

(ผมเคยเป็น Technical Manager บริษัทคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ส่วนหนึ่งคือ Deal งานพวก Audio PC และอุปกรณ์ต่อพ่วงกับลูกค้าสายบันเทิง
ประมาณ นักดนตรี นักแต่งเพลง ทำเครื่องเสียงใช้เช่า คนทำคาราโอเกะ บริษัทพวก Production House โปรแกรมในคาเฟ่ DJ
ระบบในผับ/Bar/Discotheque  อะไรต่างๆทั้งคนไทยและต่างชาติค่อนข้างหลากหลาย เลยได้ประสบการณ์ด้านนี้มานิดหน่อยครับ)


ดังนั้นถ้าไม่ได้ทำขนาด Production House เอาไปออนแอร์/เข้าโรงฉายอะไรต่างๆ
ใช้อุปกรณ์แค่ระดับเริ่มต้นก็พอเพียงแน่นอนครับ
ปัจจัยหลักๆในเรื่องคุณภาพเสียงตอนนี้ อยู่ที่รูปแบบการเซ็ทอัพและสถานที่ของเรา เป็นตัวหลักๆ
อาจมีผลมากกว่าตัวอุปกรณ์แล้วหละครับ

-----------------------------------------------------------

4. กีตาร์
ผมเปิด Metronome ในมือถือเสียบหูฟัง แล้วไมค์จ่อ

5. อัดเสียง
อัดกีตาร์ลงเครื่องคอมไปก่อนเพื่อให้ได้โครงเพลงใว้ใช้
อัดแก้ๆ พอได้ที่แล้วเอาไฟล์กีตาร์เข้ามือถือ  เสียบหูฟัง

แล้วอัดเสียงร้องตามไปอีกแทรค  ก็อัดแก้ๆ เอาตามใจชอบ
ทีนี้จะ เพิ่มแทรคเบส กลอง โซโล อะไรก็ทำไปทีละแทรค

บันทึกแบบแยกโปรเจคต์ก็ได้ ทำเสร็จค่อยเอาหลายๆแทรคมาวางรวมในโปรเจคต์เดียว
และขยาย wave form เพื่อเทียบเวลาให้ตรงกันให้มากที่สุด แล้วใส่ FX อะไรต่างๆไปทีละแทรคครับ
ถ้าฟังไม่ถนัดก็ mute แทรคอื่นๆไปก่อน และสุดท้ายก็เปิดทุกแทรคเพื่อฟังภาพรวมครับ

ส่วนภาพก็เอามือถืออีกเครื่องถ่ายตอนเล่นกีตาร์และตอนร้อง แล้วค่อยจับมา Sync กันทีหลัง
พอภาพปากตรงเสียงร้อง นิ้วลงตรงโน๊ตตรงคอร์ด ก็ล็อคแทรกภาพใว้ แล้วปิดแทรคเสียงที่ติดมากะวิดีโอเป็นอันเรียบร้อย
มีแทรควิดีโอซ้อนกันสองสามแทรคก็เลือกตัดภาคสลับไปมาได้เลย

ตัว Video Editor หลักๆใช้ Blender/KdenLive บน Ubuntu Linux
เครื่องมือมีเยอะครับ แต่ใช้ของฟรีฟังค์ชั่นอะไรต่างๆอาจไม่ครบในชุดเดียว แบบ Software เจ้าตลาดใน Windows หรือ MAC
จะทำอะไรก็ต้องออกแรงหาเครื่องมือ เพิ่มขั้นตอนกันมากหน่อย แต่สำหรับงานพื้นๆก็ยังถือว่าทำได้เหลือเฟือครับ :)

อ้ออีกเรื่องที่มีผลต่อเสียงเยอะคือ ลำโพงและสายสัญญาณครับ ผมคิดง่ายๆ
1. เปลี่ยนลำโพงเสียงเปลี่ยน... ไม่ต้องใช้ลำโพงเทพหลายหมื่น แต่ก็อย่าถึงกับต่ำกว่า 1000
2.  สายสัญญาณ สายไมค์
2.1 สายลำโพงตลาดสด สองสามเมตร ราคาต่ำกว่า 300 โยนทิ้งไปเลยครับ คุณภาพ = 30% ฟังเอาเนื้อหา เอาใว้จำทำนองเพลงก็พอได้ แต่ฟังเอาดนตรีไม่ได้
2.2 สายราคาเมตรละ 200 - 500 ไม่รวมค่าหัวและค่าเข้าหัว คุณภาพ = 70%  คุ้มสุดๆสำหรับใช้งานทั่วไปหรือทำมาหากิน
     เพราะเปลี่ยนใช้สายแพงกว่านี้คนส่วนใหญ่แยกความแตกต่างแทบไม่ออกแล้ว
2.3 สายราคาเกินเมตรละ 500  คุณภาพ = 80% และในระดับนี้รสนิยมคนฟังเริ่มมีผลต่อความถูกใจเสียงมากกว่าเรื่องการนำสัญญาณ... สำหรับผมคือสิ้นเปลืองครับ
2.4 เหลือใว้ 20% สำหรับมนุษย์หูทองขั้นเทพที่แยกคุณภาพเสียงได้ล้ำหน้าเกินกว่าชาวบ้านไปมากๆ 
    (สำหรับผมแค่ระดับ 2.3 ก็แทบแยกความต่างไม่ออกแล้ว เหมาโหลเอาว่าเแพงมากๆมันต้องเสียงดีมากๆ คือ ระดับ 2.4 ไม่ใช่ผมแน่ๆ 
    แต่เพื่อนผมที่ทำร้านเหล้าดันแยกออกแถมจะปรับบุคลิคเสียงให้ไปทางฟรุ้งฟริ้ง ทางหวาน ทางกระแทกกระทั้น อะไรต่างๆให้เข้ากับอารมณ์เพลงก็ได้อีกด้วย
    คือลำโพงคู่เดียว เปลี่ยนนั่นนี่นิดหน่อย เสียงออกมายังกะเป็นคนละชุดกันเลย)
     
:) 

radhanasiri

  • member
  • ***
  • กระทู้: 65
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 05, 2019, 15:58:25 »
เรื่องเล่าไร้สาระ :)

คนไทยเราฟังเพลงกันมากขึ้นกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนเยอะเลย

    ในยุคนั้นคนบ้านนอกมีเพลงจาก วิทยุ AM ที่แถมมากับมอเตอร์ไซค์ก็ฟังกันลั่นทุ่งนาแล้ว แต่ได้แค่ครึ่งวันถ่านหมด 
    ถ้าเทียบย้อนไปถึงร้อยปีพันปีก็ฟังเพลงจากการแสดงสดเท่านั้น   
    โดยเฉพาะดนตรีไทยบ้านๆไม่ค่อยได้รวมเป็นวงใหญ่ มีช่วงเสียงกลางเยอะ
    และส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงธรรมชาติของวัสดุเครื่องดนตรี ไม่ชวนให้เกิดความสงสัย ก็เสียงมันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว 
    จึงไม่ค่อยเกิดการรู้จักมิติเสียงต่างๆ 
 
    พอมาถึงยุคแผ่นเสียง เสียงก็ดีจริงๆแต่ลำโพงในยุคนั้นให้ช่วงเสียงได้ไม่สม่ำเสมอ
    มาถึงยุควิทยุรุ่นเก่าๆ กลายเป็นเสียงแย่กว่าแผ่นเสียงไปมากมาย เน้นเอาแค่ฟังเนื้อหาส่วนทำนองได้เสียงสากๆ 2 Octave ก็หรูแล้ว
     
    ยุคเทปเสียงมาอิ่มมีเนื้อมีน้ำกว่ายุควิทยุหน่อย
    มายุคหลังๆเริ่มมีโรงหนังแพร่หลาย  บวกกับเริ่มมีเครื่องเสียงดีๆให้เช่า   เมื่อวัยรุ่นยุคนั้นฟังเทียบกับวิทยุเทปที่บ้านก็เกิดการรู้จักเสียงเบสมากขึ้น
    จนยุค ยี่สิบปีก่อน เกิดการฮิตเครื่องเสียงมินิคอมโปกันระเบิดเถิดเทิง  ซื้อกันแทบทุกบ้าน 
    เพราะเสียงเบสที่มีบางเบาในยุควิทยุเทปช่วงแรกๆ มันมาเริ่มมาในวิทยุเทปยุคหลังๆ ถึงขนาดขายเสียงเบสกันเป็นหลักเลย
    SuperBass JumboBass อะไรก็ว่ากันไป อันนี้เข้ามาเติมเต็มให้ได้เสียงค่อนมาทางการแสดงสดมากขึ้นอีกนิด

    ถึงยุคซีดีเสียงก็ยังแย่กว่าไวนิล แต่ได้ความสะดวกในการเล่นแบบสุ่ม ไม่ต้องกรอม้วนไปมา และเสียงมีความเสถียรมากขึ้น

    และหลายๆคนก็บ้าเบสถึงขนาด เครื่องเสียงเช่าเครื่องเสียงรถก็ปรับอีคิวรูปปีกนก  มีแต่เบส กับแหลม เสียงกลางจมหายเกลี้ยง
    อันนี้ก็ชัดเจนว่าความชอบในเสียงขึ้นกับรสนิยม ซึ่งหลักๆแล้วถูกปลูกฝังมาโดยสภาพแวดล้อมกระแสสังคมอีกต่อหนึ่ง
    ระบบที่ให้เสียงได้ดีในอุดมคติของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถถ่ายทอดเสียงได้ตรงแบบธรรมชาติของการแสดงสด
    หรือขึ้นอยู่กับความสามารถในการถ่ายทอดเสียงให้ฟังลื่นหูละมุนหูเหมือนฟังจากไฟล์ HD อะไรต่างๆเสมอไป

   ถึงช่วง MP3 ยุคแรก  เครื่องเสียงระดับ MASS ดีขึ้นมากและแพร่หลายไปแทบทุกบ้านแล้ว
   แต่กลับได้เสียงห่วยเพราะคนทำไฟล์ MP3 ในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกสายเทคโนโลยี
   ไม่ใช่สายดนตรี จึงเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพบีบไฟล์เพลงสามนาทีกันจนเหลือ แค่สองสาม MB.
   จนมาตอนหลังๆ ค่ายเพลงต่างๆค่อยๆปล่อยไฟล์แบบ 128 และ 320 ออกมามัดรวมขาย  จึงค่อยได้ฟังเนื้อเสียงเต็มอิ่มขึ้นบ้าง

    ทั้งคนทั่วไปเข้าถึงเพลงง่ายสุดๆและแทบจะฟรีอีก  ทำให้เกิดการแยกแยะเสียงได้ดีขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว
    คือยุคนี้คนทั่วไปกว่าครึ่งรู้คร่าวๆว่า เบส กลาง แหลม หนักหรือ เบาไป แยกแยะได้ว่าส่วนช่วงไหนพร่ามัวหรือชัดเจน
    โดยไม่ต้องผ่านการทำงานทำงานด้านเสียงมาก่อน
   
    และสิ่งที่เปลี่ยนไปมากคือ ยุคนี้รับแนวเพลงที่อาจขาดทำนองระรื่นหู เนื้อร้องไร้สัมผัส แต่เน้นเอาสะใจ ระบายอารมณ์ เนื้อร้องเกรี้ยวกราด
    ชนิดด่าตรงจุด ขุดเรื่องใต้สะดือมาเล่า หรือรับเพลงที่จมอยู่ในความเศร้าได้มากขึ้นจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไป

    (แต่ในสมัยก่อนย้อนไปสามสี่สิบปี ทีวีเปิดเพลงพระราชนิพนธ์ น่าจะเป็นเพลงแนวบลูชุดแรกๆที่แพร่หลายทั่วไทย
    ผลคือคนแถวบ้านปิดทีวีนอนกันตลอดทั้งทั้งตลาด  เพราะทำนองพาให้ทุกข์เศร้า... *เขาไม่รู้ว่าเพลงอะไร ใครแต่ง
    เขาไม่ถือว่าเป็นเพลงที่ดี  คือไม่เอาสำเนียงบลูเลย  จะฟังพาเศร้าหมดอาลัยไปทำไม ความทุกข์เรื่องหาเลี้ยงปากท้องก็เยอะพออยู่แล้ว
    ทั้งเหน็ดเหนื่อยกายจากการออกแรงทำมาหากิน แถมศาสนาพุทธไม่สอนให้หาความทุกข์มามาถมตัวโดยพร่ำเพรื่อไร้ความจำเป็น
    มียกเว้นก็เพื่อปากท้องหรือประมาณว่าเรียนรู้ฝึกนิสัย  แต่นิสัยคนรุ่นก่อนก็ยังก็ติดไปทางรักสนุกมากกว่ารักเรียนรู้
    ดังนั้น กับพวกทาง เพนทาโทนิคนี่ไปกันได้ดีมาก  ทางแจ๊สก็พอได้หน่อย แม้ในงานศพก็ยังมีค่านิยมต้องรื่นเริงตลกโปกฮากันเข้าใว้เพื่อให้เจ้าภาพได้ยิ้มออกบ้าง)

    รับเสียงประหลาดๆเสียงปรุงแต่ง พวก Sync / Electric ได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
 
    แต่เมื่อลงในรายละเอียดก็ยังอธิบายไม่ได้ชัดเจน ไม่รู้ที่มาว่าที่ฟังเสียงเพราะ หรือไม่เพราะ 
    นั้นเกิดจากเรียบเรียง หรือเกิดจากเนื้อเสียงย่านไหน เกิดจากอุปกรณ์ส่วนไหน มันขัดแย้งหรือลงตัวกันอย่างไร
    (ไม่รูํ้ไปถึงขนาดแก้ปัญหาเสียงไม่ถูกใจได้ด้วยวิธีไหนอย่างไร  เพราะอันนี้ยังไงก็ต้องเรียนเฉพาะทาง)

   :)

    และเป็นเพราะคนรุ่นนี้ความอ่อนไหวต่อลักษณะเสียงมาก คุ้นชินรับได้กับเสียงที่หลากหลายกว่าเดิม
    (แต่จะชอบไม่ชอบก็อีกเรื่อง  นึกสภาพนั่งรถสาธารณะหรือรถเพื่อนแล้วคนขับก็เปิดเพลงตามใจเขา *แต่กรอกหูเรา)
   
    คือเพราะสามารถรับรู้เสียงได้ละเอียดมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ทั้ง คุณภาพ ปริมาณ และความถี่นี่หละ 
    เมื่อบวกกับเด็กรุ่นใหม่มีความอดทนและมีสมาธิน้อยลง (สังเกตุจากเด็กส่วนใหญ่ในโรงเรียน)
    คนที่แต่งเพลงได้เล่นดนตรีเก่งก็เลยดูเหมือนมีความสามารถไม่เพียงพอจะทำมาหากินกันแล้ว
    ต้องอาศํยรู้เรื่องเครื่องเสียง บวกความหูทองสามารถแมทช์เสียงจับทางเข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ดีด้วย  จึงจะครบสูตรลุยเดี่ยวได้ครับ

:)

Tomgunt

  • member
  • ***
  • กระทู้: 19
Re: สอบถามเรื่องการทำ Home Studio และแนวทางการอัดเสียง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 06, 2019, 19:54:10 »
Audio interface ผมสั่งของ Behringer 404HD มี Input 4 port จากอีเบย์ มาราคาถูกกว่าบ้านเราเกือบครึ่ง
ตอนแรกว่าจะสอย Focusrite แต่งบขนาดนี้ได้แค่ 2 port  เท่าที่ดูรีวิวิว ฝรั่งวิจารณ์กันในยูทูบ เสียงก็ไม่ได้ต่างมาก บางคนชอบ 404 มากกว่า

ไว้ของมาแล้วลองแล้วเป็นยังไงจะมาเล่าให้ฟังครับ ส่วนไมค์ก็เล็งๆของ Rode NT1 เหมือนกัน