สาเหตุของการแตกลายงานั้นเกิดจากการหดตัวของผิวเคลือบซึ่งในกรณีของกีตาร์ก็จะเกิดกับผิวเคลือบที่เป็น nitrocellulose lacquer เท่านั้น
ผิวแตกลายงาหรือ finish checking นั้นถ้าเป็นกีตาร์ Fender ก็จะเกิดกับตัวที่ผลืตก่อนปี 1968 เท่านั้นเพราะในปีนั้น Fender เปลี่ยนมาใช้ polyurethane finish แทนเนื่องจากกฏหมายควบคุมมลพิษใหม่ของ California ทำให้พ่นไนโตรไม่ใด้ (ส่วน Gibson, Guild, Martin ที่โรงงานตั้งอยู่ในรัฐอื่นก็ยังคงใช้ไนโตรต่อไปจนถึงปัจจุบัน)
ต่อมาในยุค '90s กีตาร์ Fender รุ่นเก่าๆสภาพเน่าๆที่ใช้ nitro finish ราคามือสองขึ้นไปสูงมาก ทาง Fender Custom Shop จึงเริ่มเอา nitro finish ที่ทำให้เก่ามาเป็นจุดขายใน Time Machine Series โดยแบ่งการทำ relic ออกเป็น Closet Classic ที่ผิวแตกลายงานิดหน่อยและ Relic ที่เพิ่มเติมรอยถลอก สนิม คราบและ finish checking เข้าไปให้เหมือนกีตาร์เก่าที่ผ่านเวทีมาหลายสิบปี
คราวนี้ Finish Checking ก็เลยเปลี่ยนภาพลักษณ์จากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นเอกลักษณ์ที่คนไฝ่หาเพราะเชื่อกันว่ามันเป็นคุณสมบัติของกีตาร์ที่ไม้แห้งสนิท ผิวเคลือบบางและเสียงเปิดเต็มที่แล้ว ส่วน Fender Custom Shop นั้นก็ตั้งราคาแพงลิบลิ่วสำหรับการทำ relic อย่างในตัวอย่างราคาของ EC Strat ข้างล่าง
ลองดู finish checking ในรุ่น 1956 Strat ของผมครับ
กีตาร์ Fender Custom Shop Time Machine Series นั้นเสียงเปิดขึ้นตามเกรดแน่นอนแต่ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการคัดเลือกไม้และการทำสีไนโตรบางลงมากกว่าเกิดจากการทำให้แตกลายงา
1960 New Old Stock (NOS) grade, no relic process.
1960 Closet Classic grade (+$300), finish checking + dull hardwares
1966 Relic grade ($650), checking+tainted hardwares+dents.
เรื่องการทำ finish checking โดยเจตนานี่ฝรั่งเพิ่งมาทำเป็นในยุค '90s แต่ช่างไทยเราทำกันมานานแล้วเวลาปลอมพระสมเด็จวัดระฆัง
ส่วนเรื่องที่เขาลือกันว่ากีตาร์ที่แตกลายงานั้นเสียงจะเปิดมากขึ้นนั้นจริงหรือไม่จริงเชิญลงฟังดูครับ
J-45 True Vintage, Very thin nitro finish
J-45 original, lot of finish checking
กีตาร์ Yamaha L-Series ไม่แตกลายงาเพราะเขาไม่ใด้ใช้ nitro finish ครับ