ผมมีอยู่หลายตัวครับ "Parlor Guitar" นั้นเป็นชื่อที่เรียกกีตาร์ตัวเล็กสมัยโบราณซึ่งมีความด้งพอที่จะนั่งเล่นในห้องใด้แต่เอาไปเล่นออกงานคงไม่ไหว (Parlor = ห้องนั่งเล่น) ความเป็นมาของมันมีดังนี้ครับ
เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วขนาดของกีตาร์โปร่งนั้นเล็กกว่าสมัยนี้เยอะแถมยังใช้สายเอ็นทำให้เสียงเบากว่าพวกเครื่องดนตรีอื่นอย่าง banjo หรือ mandolin แจมกันไม่ใด้ ก็เลยต้องแจมกับหีบเพลงปากเท่านั้น
เมื่อแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นกีตาร์ขนาดมาตรฐานของ Martin (standard size) ไม่ใช่ทรง D แต่เป็น size 1 ซึ่งตัวเล็กกว่ากีตาร์ parlor สมัยนี้ซะอีก ลองดูขนาดต่างๆของ Martin ในปี 1931 ก่อนที่ทรง D จะออกวางตลาดดูครับ
ในยุค 1930s-40s นั้นเป็นยุค bluegrass และ country ที่ผุ็ผลิตแข่งกันว่ากีตาร์ใครจะตัวใหญ่กว่าและเสียงดังกว่ากัน กีตาร์ทรง D ก็เลยใด้ครองตลาด ส่วนกีตาร์ตัวเล็กนั้นใด้กลับมาฮิตอีกครั้งในยุค folk music boom ตั้งแต่ปลาย 1950s, '60s และต้น '70s มาคราวนี้ก็เลยใด้สมญานามว่า parlor หรือ New Yorker guitars ที่ผู้หญิงใช้กันเยอะมาก
สเป็คคร่าวๆของ parlor guitar ในยุคปัจจุบันน่าจะเป็นดังนี้
1. ขนาดลำตัวกว้างเท่าทรง 0 (13 1/2") หรือเต็มที่ก็ไม่เกินทรง 00 (14 1/8")
2. Scale ยาวไม่ต่ำกว่า 24"-25"
3. คอกว้างเท่ากีตาร์ตัวใหญ่
Parlor guitars ของฝรั่งบางตัวที่ผมมี
ของญี่ปุ่นชอบทำเป็น 14 frets clear
Martin 0-27 ตัวในคลิปเดิมเป็นกีตาร์สายเอ็นแต่ถูกดัดแปลงให้ใช้กับสาย silk & steel เสียงเลยออกมาทางนุ่มหวาน เสียดายที่ตอนเราดู Youtube เราไม่มีทางรู้ว่ากีตาร์ตัวจริงเสียงดังแค่ไหน (ถ้าไม่มีคนร้องให้เทียบ) แต่ผมคิดว่าตัวจริงเสียงน่าจะเบาครับ
ผมไม่ใด้นับกีตาร์ย่อส่วนสมัยใหม่อย่าง Little Martin, Baby Taylor, GS Mini, D-Junior ว่าเป็น parlor ครับเพราะเสียงกลางมันไม่พุ่งเหมือน parlor ตัวจริง