เห็นน่าสนใจดีเลยเอามาฝากครับ
พะยูง
คำนำ
พะยูงเป็นชื่อพื้นเมืองทางการของไม้ชนิดนี้ แต่ก็มีการเรียกขานที่แตกต่างกันไป ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น กระยง กระยุง (เขมร – สุรินทร์) ขะยุง (อุบลราชธานี) ประดู่ลาย (ชลบุรี) พะยูงไหม (สระบุรี) ประดู่เสน (ตราด) ประดู่ตม (จันทรบุรี) หีวสีเมาะ (จีน) เป็นต้น (เต็ม สมิตินันท์ 2523) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia cochinchinensis Pierre อยู่ในอนุวงศ์ Papilionaceae วงศ์ Leguminosea มีชื่อทางการค้าในตลาดต่างประเทศว่า Siamese Rosewood หรือ Thailand Rosewood มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พม่า กัมพูชา ลาว และเวียดนาม พะยูงจัดว่าเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และยังเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่มีราคาแพงที่สุด ชนิดหนึ่งในตลาดต่างประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตามจากสถิติปริมาณไม้ ที่ทำออกจากป่า ระหว่างปี พ.ศ. 2528 ถึง 2532 ในปี พ.ศ. 2530 มีการทำไม้พะยูงออกสูงสุด แต่มีปริมาณเพียง 662 ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบ กับไม้สัก (37,278 ลบ.ม.) และไม้ประดู่
(51,937 ลบ.ม.) ในปีเดียวกัน (ฝ่ายสถิติป่าไม้ 2532) จึงอาจจะถือได้ว่าไม้พะยูงในประเทศไทย กำลังเผชิญกับสภาวะที่ล่อแหล่มต่อการสูญพันธ์ หรือสูญสิ้น
ในความหลากหลายทางพันธุ์กรรม การอนุรักษ์สายพันธุ์จึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญและเร่งด่วนสำหรับไม้ชนิดนี้
ลักษณะทั่วไป
พะยูงเป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร มีช่วงลำต้น 10-15 เมตร มีเปลือกสีเทา เรียบ ลอกจะมีปมรากแบบปนรากถั่วช่วยในการตรึง ก๊าซในโตเจน
เป็นแผ่นบาง ๆ เปลือกในสีน้ำตาลแกมเหลือง โดยมากจะมีพุ่มใบกว้าง การแตกกิ่งก้านจะแตกเป็นแขนงแยกย่อยจากกิ่งใหญ่ โดยมากตาที่จะแตกเป็นกิ่งใหม่
่มักจะอยู่บนกิ่งแขนงย่อยบริเวณส่วนนอกของพุ่มใบ ใบเป็นใบประกอบเป็นช่อแบบขนนก ช่อใบยาว 10-15 ซม. มีใบย่อย 7-9 ใบ เรียงตัวสลับกัน ใบมีลักษณะเหนียวคล้ายแผ่นหนังบาง ๆ มีลักษณะรูปไข่ขนาดกว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. ปลายใบแหลม ดอกพยุงมีขนาดเล็กสีขาวเกิดบนช่อดอกเชิงประกอบ ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้ยอด ออกดอกระหว่างเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม ผลพะยูงเป็นฝักเกลี้ยงรูปขนานแบนและบอบบางกว้าง 1.2 ซม. ยาว 4-6 ซม. ตรงบริเวณที่หุ้มเมล็ดมองเห็น เส้นแขนงไม้ชัดเจน ฝักพะยูงเมื่อแก่จะไม่แตกออกเหมือนฝักแดง หรือ ฝักมะค่าโมง ฝักจะร่วงหล่นโดยที่เมล็ดยังอยู่ในฝัก มีเมล็ดจำนวน 1-4 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะแบนเป็นรูปไต สีน้ำตาลเข้ม ผิวเมล็ดค่อนข้างมันมีขนาด กว้างประมาณ 4 มม. ยาว 7 มม. (ฝ่ายพฤกษศาสตร์ป่าไม้ 2526) ระบบรากเป็นระบบรากแก้วและรากแขนงโดยรากแก้วจะเป็นรากแกนหลักที่มีรากแขนงแตกย่อยออกไป เป็นไม้ที่มีระบบรากค่อนข้างลึก รากฝอย
ชิงชัน
คำนำ
ไม้ชิงชังมีชื่อพื้นเมืองว่า ประดู่ชิงชัน ดู่สะแตน เก็ดแดง อีเม็ง พยุงแกลบ กะซิบ หมากพลูตั๊กแตน Burma rosewood, Tamalan มีชื่อ
วิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia oliveri Gamble โดยมีชื่อพ้อง 2 ชื่อ D.bariensis Pierre และ D.dongnaiensis Pierre ชิงชันจัดอยู่ในสกุลไม้ชิงชัน
(Dalbergia Linn.) ในอนุวงศ์ประดู่ (Papilionatae) ของวงศ์ไม้ประดู่ (Leguminosae) ไม้สกุลไม้ชิงชัน มีอยู่ทั้งสิ้น ประมาณ 80 ชนิด ใน ประเทศไทยมีประมาณ
30 ชนิด แต่ที่หวงห้ามมีเพียง 3 ชนิด คือ พะยูง (D.cochinchinensis), ชิงชัน (D.oliveri) และกระพี้เขา (D.cultrata) มีถิ่นกำเนิดในพม่า, ลาว และไทย
และถูกนำไปปลูกในมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นที่รู้จักกัน ทั่วโลกว่า ไม้ตระกูลนี้มีเนื้อไม้และแก่นที่สวยงาม แข็งแรง ทนทาน จึงนิยมใช้ทำเครื่องเรือน
เครื่องใช้ต่างๆ เครื่องแกะสลัก หวี มุถือและด้ามเครื่องมือ
ลักษณะทั่วไป
ไม้ชิงชันจัดเป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร เปลือกหนามีสีน้ำตาลเทา กะเทาะล่อนเป็นแว่นหรือแผ่นขนาดเล็ก เปลือกในสีเหลือง เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง แก่นสีม่วง ถึงน้ำตาลอมม่วงมีเส้นแทรกดำและมีเสี้ยนสน ยอดอ่อน ใบอ่อนออกสีแดงเกลี้ยง หรือมีขนเบาบาง ใบเป็นช่อ ก้านช่อยาว 5-30 เซนติเมตร ส่วนมากจะมีใบประกอบย่อย 11-17 ใบ เมื่อยังเล็ก จะมีลักษณะค่อนข้างกลมและมีลักษณะยาวรีหรือเรียวเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก เมื่อต้นไม้มีอายุมากขึ้น ใบกว้าง 1-4 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ฐานใบกลมหรือเป็นรูปลิ่มกว้างๆ ปลายใบมนทู่หรือ ยักเว้าเล็กน้อยทางกด้านท้องใบจะมีสีจางกว่าหลังใบ ดอกมีสีขาวอมม่วง เกิดบนช่อดอกเชิงประกอบตามปลายกิ่ง ดอกจะเกิดพร้อมกับการผลิใบใหม่ในราวเดือน มีนาคม-พฤษภาคม เกสรผู้แยกออกเป็นสองกลุ่มๆ ละ 5 อัน ฝักมีลักษณะยาวรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง 3-3.5 เซนติเมตร นาว 8-17 เซนติเมตร ส่วนที่หุ้มเมล็ดหนาแข็ง มีลักษณะเป็นกระเปาะผิวเรียบบางไม่เห็นเส้นแขนง ตัวของกระเปาะกลมหรือแกรมรีเล็กน้อยนูนเด่นออกมาเห็นได้ชัด รอบๆ กระเปาะจะมีลักษณะคล้ายปีกแผ่กว้างออกไปเห็นได้ชัด ฝักจะแก่ประมาณสองเดือนหลังจากออกดอก เมล็ด ส่วนมากจะมีเมล็ดเดียวแต่อาจพบบ้างที่มีจำนวน 2-3 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะ คล้ายรูปไตสีน้ำตาล กว้าง 0.6 เซนติเมตร ยาง 1 เซนติเมตร ระบบราก เท่าที่มีการศึกษาระบบรากของกล้าไม้พบว่าจะมีรากแก้วยาวมาก มีรากฝอยที่เกิดจากรากแขนงจำนวนปานกลาง และมักจะพบปมรากถั่วเกิดอยู่เสมอ
ประดู่ป่า
ลักษณะทั่วไป
ประดู่ป่า ( P. macrocarpus ) เป็นไม้ผลัดใบขนาดใหญ่ สูงตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป มีเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 1.3+2.1 เมตร เรือนยอดสูง
ประมาณ 6-12 เมตร เป็นรูปทรงกระบอกหรือรูปเจดีย์ต่ำ ๆ กิ่งสั้นไม่แผ่กว้าง ปลายกิ่งส่วนมากจะชี้ขึ้น จัดเป็นไม่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงชนิดหนึ่งในแถบเอเชีย มีชื่อทางการค้าว่า Padauk หรือ Nara คำว่า “Padauk” เป็นภาษาพม่าที่ใช้เรียก เฉพาะ ไม้ประดู่ ( Pterocarpus macrocarpus ) แต่ต่อมาได้เรียกรวมถึงไม้อีก
2 ชนิด คือ Pterocarpus dalbergioides Roxb. (Andaman Padauk) และ Pterocarpus indicol (Nara) ลักษณะเปลือกของไม้ประดู่ป่ามีเปลือกหนา เปลือกนอก
สีน้ำตาล เทา – หนา แตกหยาบเป็นร่องลึก เปลือกในสีน้ำตาล เนื้อไม้แข้ง มีสีขาวอมเหลือง แก่นสีน้ำตาลแกมแดง ลักษณะของใบและดอกไม่ใคร่แตกต่าง
จากประดู่บ้านมากนักผิดกันแต่ว่ามีขนปกคลุมหนาแน่นกว่า Troup (1921) รายงานว่าใบจะร่วงในฤดูร้อนและเริ่มผลิใบใหม่ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม ผลมีลักษณะเป็นฝักกลมใหญ่กว่าประดู่บ้านมาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 ซม และมีขนละเอียดปกคลุมอยู่ เมื่อผลแก่มีสีน้ำตาลแกมเทาตรงกลาง
ของผลพองหนาและแข็งมีเมล็ด อยู่ข้างใน 1-2 เมล็ด เมล็ดมีรูปร่างแบบ dolabriform มีสีน้ำตาลแดง ยาวประมาณ 0.4-0.5 นิ้ว มีเปลือกหุ้มเมล็ดคล้ายหนังหุ้ม
อยู่ 1 กิโลกรัมจะมีผลประมาณ 1,400-1,900 ผล แต่ถ้านำผลเข้าเครื่องตีปีก (seed scarifier machine) 1 กิโลกรัม จะมีผลประมาณ 3,200 -3,400 ผล
ถ้าแกะเมล็ดออกมาจากผล 1 กิโลกรัมจะมีเมล็ดประมาณ 12,500-18,000 เมล็ด ออกดอกระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคมฝักจะแก่ประมาณสามเดือนหลังจากออก
ดอก เมล็ดที่อยู่ในฝักที่ ติดค้างอยู่บนต้นเป็นเวลานาน จะสูญเสียความสามารถในการงอกมากกว่าเมล็ดที่เก็บจากผลทันที เมื่อผลแก่เต็มที่
credit:http://www.dnp.go.th/